Tuesday 16 November 2010

สมัชชาสังคมก้าวหน้า : เพราะช่วยเพื่อนมนุษย์จึงเป็นผู้ก่อการร้าย

สุรชัย เพ็ชรพลอย อายุ 29 ปี เขาเป็นชาวกรุงเทพมหานครโดยกำเนิด เป็นชายหนุ่มผิวดำแดง ก่อนถูกทหารจับกุมโดยอาศัยอำนาจตามพรก.ฉุกเฉินฯ เขาพักอาศัยอยู่ที่แถว ซ.วัดอภัยทยาราม (ซ.ราชวิถี 14) มีอาชีพขายผลไม้ เขามีลูก 2 คน อายุ 6 ขวบ และ 3 ขวบ สุรชัย เพ็ชรพลอย เล่าว่า พี่เขยของเขาเป็นผู้สนับสนุนการชุมนุมของ ชาวเสื้อแดงตัวยง พี่เขยไปชุมนุมที่แยกราชประสงค์บ่อยครั้ง เมื่อกลับมาถึงบ้านก็นำเรื่องมาเล่าให้ฟัง

สุรชัย เล่าว่า เขาชอบเสื้อแดงมากที่สุดคือเรื่อง 2 มาตรฐาน เขาไปร่วมชุมนุมบ้างเป็นบางโอกาส แต่ไม่เคยค้างคืนแถวที่ชุมนุมเลย ส่วนวิษณุ กมลแมน อายุ 19 ปี พักอาศัยอยู่กับน้าชายที่ ซ.วัดอภัยทยาราม(ซ.ราชวิถี 14) พ่อกับแม่ เสียชีวิตหมดแล้ว เขาเล่าว่า แม้ว่าเขากับสรุชัย เพ็ชรพลอยจะพักอาศัยอยู่ที่ซอยเดียวกัน แต่เขาไม่รู้จักกันมาก่อน มาเห็นกันก็ต่อเมื่ออยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน และมารู้จักชื่อกันเมื่อถูกจับขึ้นโรงพัก เขาถูกจับกุมตอนบ่าย 4 -5 โมงของวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 ในวันถูกจับ เวลาราวๆก่อนบ่ายโมง เขาได้ยินเสียงปืน และระเบิดดัง ด้วยความที่เขาอยากรู้อยากเห็น เขาเลยเดินทางออกจากแถวบ้าน เพื่อตามหาเสียงปืนและเสียงระเบิด เขาเล่าว่า เขาไม่รู้ว่าเขาเป็นเสื้อแดงหรือไม่ แต่เขาเคยไปร่วมชุมนุม ที่ราชประสงค์ ไปกับคนแถวบ้านซึ่งเป็นเสื้อแดง และเขาไม่ได้สนใจการเมือง แต่อยากไปดูให้เห็นกับตาว่ามันคืออะไรและเป็นยังไง

สุรชัย เพ็ชรพลอย เล่าว่า เขาถูกทหารจับกุมตอนเวลาประมาณบ่าย 4-5 โมงเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 ก่อนถูกจับ เขาพักอยู่ที่บ้าน และได้ยินเสียงทั้งเสียงปืนและเสียงระเบิด เวลาประมาณเที่ยงกว่าๆ เสียงนั้นดังมาก เสียงปืนที่เขาได้ยินคล้ายกับปืนกล เขาจึงเดินทางออกจากบ้านโดยมีเพื่อนไปด้วยอีก 1 คน เพื่อนของเขาเป็นเสื้อแดง มุ่งหน้าไปยังแถวสามเหลี่ยมดินแดง โดยเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ เมื่อไปถึงบริเวณแถวป้อมตำรวจตรงสามเหลี่ยมดินแดง เขาเห็นรถยีเอ็มซี ของทหาร กำลังลุกไหม้ และบริเวณนั้นมีผู้ร่วมชุมนุมอยู่ประมาณ 200-300 คน ไม่มีใครใส่เสื้อสีแดงเลยสักคนเดียว ผู้คนแถวนั้นกำลังพูดคุยกันถึงเรื่อง มีคนถูกทหารยิงบาดเจ็บนอนอยู่กลางถนนราชปรารถ แถวบริเวณ ปากซอยรางน้ำ และพยายามหาทางเข้าไปช่วยเหลือ

เขาเล่าว่าจากจุดที่ผู้ชุมนุมยืนอยู่นั้น เขาไม่สามารถเห็นคนเจ็บและทหารได้เนื่องจากว่ามันไกลกันเกินไปที่จะเห็นคน เจ็บได้ ผู้ชุมนุมที่อยู่แถวป้อมตำรวจ สามเหลี่ยมดินแดงวางแผนกันว่า จะเอายางรถยนต์มาตั้งเป็นบังเกอร์แล้วและช่วยกันเลื่อนบังเกอร์ยางเข้าไป ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ หลังจากตกลงกันได้ พวกผู้ชุมนุมก็เอายางรถยนต์มาตั้งเรียงกันขึ้นสูงประมาณยางรถยนต์ 4 เส้น ยาวขนาด ยางรถยนต์เรียงต่อๆกันไป 5 เส้น เมื่อทำบังเกอร์ยางได้พอตามที่ต้องการแล้ว เขากับ วิษณุ กมลแมนและผู้ชุมนุมคนอื่นๆประมาณ 40-50 คนก็ช่วยกันเลื่อนบังเกอร์ยาง มุ่งหน้าไปยังปากซอยรางน้ำ โดยช่วยกันเข็นไปเรื่อยๆ และมีผู้ร่วมชุมนุมคนอื่น ขับรถน้ำของกทม.คันสีเหลือง วิ่งตามหลังมา ระหว่างเข็นบังเกอร์ยางจากบริเวณป้อมตำรวจสามเหลี่ยมดินแดงมุ่งหน้าไปปากซอย รางน้ำ ทหารไม่ได้ยิงเข้ามาทางผู้ชุมนุมเลย

ผู้ชุมนุมเข็นบังเกอร์ยางมาได้ระยะทางประมาณ 100 เมตร ใช้เวลาประมาณ 15 นาที เมื่อมาถึงแถวบริเวณปั๊มน้ำ มัน เขาจำไม่ได้ว่าเป็นปั๊มน้ำมันยี่ห้อแอสโซ่หรือว่ายี่ห้อเชลล์ ปรากฎว่าทหารที่อยู่บนสะพายลอย ระดมยิงปืนใส่พวกผู้ชุมนุมที่อยู่หลังบังเกอร์ยางและหลังรถน้ำกทม.อย่างหนัก หน่วง เสียงปืนรัวตลอดเวลา สะพานลอยที่ทหารซุ่มอยู่นั้นห่างจากพวกเขาไปประมาณ 100 เมตร ทั้งสุรชัย และวิษณุ ไม่แน่ใจว่าบนสะพานลอยนั้นมีทหารอยู่เท่าไหร่กันแน่ เนื่องจาก บนสะพานลอยนั้นมีตาข่ายสีเขียวและดำคลุมพรางไว้หมด

เมื่อทหารระดมปืนยิงใส่ ผู้ชุมนุมที่ช่วยกันเข็นบังเกอร์ยางก็แตกตื่นและพยายามวิ่งหาที่หลบกระสุน ทั้งคู่เล่าว่าผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธอะไรโต้ตอบเลย นอกจากหาที่หลบอย่างเดียว ส่วนหนึ่งก็วิ่งเข้าไปหลบในปั๊มน้ำมัน อีกส่วนหนึ่งก็วิ่งหลบด้านหลังรถน้ำกทม.ที่จอดขวางเลนส์อยู่ ซึ่งอยู่ห่างจากบังเกอร์ประมาณ 20-30 เมตร

วิษณุ กมลแมน เล่าว่า เมื่อทหารยิงปืนใส่ที่บังเกอร์ยาง เขาไม่รู้ตัวเลยว่า เขาวิ่งเข้าไปหลบอยู่ในปั๊มน้ำมันได้อย่างไร มารู้ตัวอีกที เขาก็อยู่ที่ห้องน้ำหลังปั๊มน้ำมัน เขาหลบอยู่ข้างในห้องน้ำ ตลอดเวลาที่หลบอยู่ในห้องน้ำเขาได้ยินเสียงปืน เสียงระเบิด ดังมาตลอด สุรชัย เล่าว่า เมื่อทหารยิงเข้ามาที่บังเกอร์ยาง เขาก็พยายามหาทางออกจากบังเกอร์ยาง เขาจำได้ว่าหลังบังเกอร์ยางมีนักข่าวต่างประเทสถ่ายรูปอยู่ตลอดเวลาซึ่งนัก ข่าวคนนี้ พูดภาษาไทยได้ชัด

เมื่อเห็นผู้ชุมนุมบางส่วนวิ่งหลบหนีเข้าไปในปั๊มน้ำมัน บางส่วนเขาไปหลบข้างหลังรถน้ำกทม. เขาพยายามหาทางออกจากข้างหลังบังเกอร์ยาง และคอยนับจังหวะที่ตัวเองจะวิ่ง เขาไม่แน่ใจว่าเขาหลบอยู่หลังบังเกอร์บางประมาณกี่นาที รู้แต่ว่ามันช่างเป็นเวลาที่แสนจะยาวนานเขาเห็นนักข่าวต่างประเทศวิ่งเข้าไป หลบในปั๊มน้ำมันได้ เขาจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปหลบในปั๊มน้ำมันโดยเขาหลบไปได้หวุดหวิด

เมื่อเข้ามาในบริเวณปั๊มน้ำมันได้ เขาเข้าไปนั่งหลบอยู่ข้างกำแพง ซึ่งห่างจากบังเกอร์ยางประมาณ 3 เมตร เขาเห็น คนที่ติดอยู่หลังบังเกอร์ยางบางคนหนึ่งพยายามเอายางรถยนต์เส้นสุดท้ายมาตั้ง เรียงให้บังเกอร์ยางสูงขึ้น และเห็นชายที่พยายามตั้งบังเกอร์ยางถูกยิงเข้าที่แขนและที่หน้าท้อง ชายคนนั้นล้มลงทันที หน้าของเขาคว่ำลงกับพื้น และเขาเห็นชายอีกคนหนึ่งถูกยิงที่ขา เขาเล่าว่ากระสุนทั้งหมดนั้นยิงมาจากฝั่งที่ทหารซุ่มอยู่

คนที่หลบอยู่ในปั๊มประมาณ 7-8 คนพยายามตะโกนให้พวกที่อยู่หลังบังเกอร์พยายามวิ่งออกมาให้ได้สุรชัย เล่าว่า เมื่อเขาเห็นคนถูกยิง เขาก็โทรศัพท์ไปหาพี่เขยซึ่งพี่เขยเขาอยู่ที่ป้อมตำรวจแถวสามเหลี่ยมดินแดง เขาบอกพี่เขยว่าที่นี่มีคนถูกยิง 2 คน ให้หาคนมาช่วย และให้เรียกรถพยาบาล พี่เขยเขาบอกว่าไม่มีใครฝ่าเข้ามาได้ ทหารยิงใส่ตลอดเวลา หลังวางโทรศัพท์จากพี่เขยแล้ว เขาก็เห็นชายที่ถูกยิงที่ขาวิ่งออกจากบังเกอร์ยางหลบเข้ามาอยู่ในปั๊มน้ำมัน ได้ เขากับคนอื่นๆก็ช่วยกันหามไปวางไว้ที่หน้าห้องน้ำหลังปั๊มน้ำมัน แต่ชายที่ถูกยิงเข้าหน้าท้อง อาการสาหัสมาก เขาเลยตะโกนถามว่า “ไหวไหม? “ ชายคนนั้นไม่ขยับตัว ได้แต่พูดว่า ไม่ไหวแล้ว

สุรชัย เล่าว่า เขาไม่รู้จะช่วยชายคนนั้นได้อย่างไร จะวิ่งเข้าไปดึงออกมาจากบังเกอร์ ก็กลัวถูกยิงตาย เพราะขณะนั้นทหารก็ระดมยิงเข้าใส่คนที่อยู่หลังบังเกอร์อย่างหนักหลังจาก นั้น มีนักข่าวต่างประเทศวิ่งเข้ามาบอกเขาด้วยภาษาไทยที่ชัดแจ๋ว และตะโกนบอกชายคนที่มีอาการบาดเจ็บว่า ไม่ต้องกลัว เขาได้โทรศัพท์ไปบอกทหารแล้วว่า พวกเราไม่มีอาวุธ ให้หยุดยิง สักพักทหารคงหยุดยิง สุรชัยเล่าว่าเขาก็พูดกับนักข่างต่างประเทศคนนั้นว่า ลองยิงกันแบบนี้พวกทหารไม่หยุดแน่ กะจะฆ่าพวกเราให้ตายทั้งหมด

เขาเล่าต่อไปว่าในขณะเขาหลบอยู่ในปั๊มน้ำมันเขาเห็น ผู้ชุมนุมที่อยู่หลังรถน้ำกทม.พยายามจะมาช่วยคนเจ็บ แต่ทหารที่อยู่บนสะพานลอยก็ยิงใส่คนที่อยู่แถวรถน้ำกทม.อย่างหนัก เขาเข้าใจว่าปืนที่ทหารยิงนั้นน่าจะเป็นปืนติดลำกล้อง ยิงไปหลายนัดจนทำให้ผู้ชุมนุมไม่สามารถเข้าไปช่วยคนเจ็บได้

นานต่อมา เขาเห็นชายคนที่ถูกยิงที่หน้าท้อง ออกมาจากหลังบังเกอร์ยาง โดยชายคนนั้นนอนกลิ้งออกมาจากบังเกอร์ยางได้ เมื่อชายคนบาดเจ็บเข้ามาอยู่ในปั๊มแล้ว เขาและเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรมคนอื่นๆในปั๊มซึ่งเหลือประมาณ 5 คนก็ช่วยกันหามชายคนนี้ไปวางไว้ที่หน้าห้องน้ำหลังปั๊มเขาเล่าว่าห้องน้ำ หลังปั๊มน้ำมัน มีกำแพงสูงประมาณ 1เมตรกว่าๆ เขาได้โทรศัพท์ไปบอกพี่เขยอีกครั้งว่ามีคนจะเข้ามาช่วยคนบาดเจ็บได้ไหม? พี่เขยบอกว่าไม่มีใครเข้าไปบริเวณนั้นได้เพราะพวกทหารยิงปืนใส่หมดเลย เขาก็เลยบอกกับพี่เขยว่า จะลองหาทางอื่นดู

หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้ว เขาเห็นเลือดของคนเจ็บไหลออกจากแขนมากและไม่หยุดเลย เขาจึงฉีกเสื้อชายคนนั้นมาพันที่แขนเพื่อห้ามเลือด ตอนนั้นเขาจึงรู้ว่าคนที่ถูกยิงที่ขาข้ามกำแพงไปแล้ว ส่วนนักข่าวต่างประเทศก็ไม่อยู่แถวปั๊มแล้วเขาเล่าว่าถึงตอนนี้เวลาน่าจะ ประมาณบ่าย 3หรือบ่าย 4 เขาก็จำไม่ได้ รู้แต่ว่าตอนนั้นมีคนอยู่ในปั๊มประมาณ4-5 คน รวมวิษณุ กมลแมนด้วย แต่ไม่รวมคนเจ็บ

พวกเขาตกลงกันว่าจะช่วยคนเจ็บออกไปจากปั๊มน้ำมันโดยจะช่วยกันหามคนเจ็บ ข้ามกำแพงปั๊มน้ำมัน โดยให้คนที่ข้ามกำแพงไปก่อนนั้น ไปรอรับคนเจ็บ เมื่อตกลงกันได้อย่างนี้แล้วก็มีคนข้ามกำแพงไปเพื่อรอรับสุรชัย เพ็ชรพลอยเล่าว่า เขาอาสาสมัครเป็นคนที่จะยกคนเจ็บข้ามกำแพง แต่ว่าเขาไม่สามารถยกคนเจ็บด้วยตัวคนเดียวได้ เขามองเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเขาทราบชื่อต่อมาภายหลังว่าชื่อวิษณุ กมลแมน กำลังยืนเหยียบอยู่บนกำแพงเพื่อที่จะข้ามกำแพงแล้ว เขาจึงเรียกวิษณุ กลับมาให้ช่วยยกคนเจ็บกันก่อน วิษณุ ก็ลงมาจากกำแพง เขาทั้ง 2 คน ช่วยกันหามชายคนเจ็บข้ามกำแพงไปได้และคนที่อยู่ทางฝั่งโน้นก็รอรับ

สุรชัย เล่าว่า เหตุที่เขาตัดสินใจช่วยยกคนเจ็บในขณะที่คนส่วนอื่นข้ามกำแพงพ้นไปแล้ว เขาไม่คิดว่าทหารจะเข้ามาในปั๊ม ส่วนวิษณุ กมลแมน เล่าว่า เขาไม่คิดอะไรนอกจากจะช่วยหามคนเจ็บ และคิดว่าทหารคงไม่เข้ามาในปั๊มหลังจากหามคนเจ็บข้ามกำแพงไปได้ สุรชัยและวิษณุ เล่าว่า เขาทั้งคู่ก็เตรียมปีนข้ามกำแพง พวกเขายืนเหยีบยอยู่บนถังขยะที่คว่ำก้นไว้และ มือทั้งสองข้างของพวกเขากำลังเกาะขอบกำแพงกำลังจะปีนข้ามกำแพง ทันใดนั้น เขาได้ยินเสียงคนตะโกนขึ้นมาว่า “เฮ้ย ! หยุด “เขาทั้งคู่ก็หยุดทันที และชูมือขึ้นเหนือศรีษะแล้วค่อยๆลงมาจากถังขยะ พอลงมาจากถังขยะ แล้วหันหน้ามาตามเสียงที่เรียก เขาทั้งสอง เห็นทหารประมาณ 5- 6 นาย ทุกคนเล็งปืนยาวมาที่ตัวเขาทั้งสองคน เมื่อทหารวิ่งเข้ามาประชิดตัวเขาทั้งสอง ทหารทุกคนเอาปืนรุมจี้หัวเขาทั้งคู่ ในใจของทั้งคู่คิดว่าไม่รอดแน่ เขาเห็นนายทหาร 2 นาย เดินไปตรวจที่ห้องน้ำ ทหารสั่งให้เขาทั้งคู่นั่งคุกเข่า เมื่อเขาคุกเข่าแล้วก็สั่งให้เขาทั้งสองคนเอามือไขว่หลังและเอาสายรัดข้อมือ พลาสติกมารัดข้อมือเขาทั้งสอง

หลังจากนั้นทหาร กระทืบเขาทั้งคู่ และรุมเต๊ะ เขาทั้งคู่จำไม่ได้ว่าโดนกระทืบอยู่นานเท่าไหร่ สุรชัย เล่าว่าเขาถูกทหารเต๊ะเข้าที่ท้องและซี่โครงและเต๊ะเข้าที่ใบหน้า จนเขาต้องคู้ตัวลงแนบกับพื้นแต่ทหารก็ยังเต๊ะตลอดเวลา มีช่วงหนึ่งเมื่อคู้ตัวลงกับพื้น เขาเหลือบมองไปที่วิษณุ เขาเห็นวิษณุเงยหน้าขึ้นมองหน้าทหารและทหารก็เอาเท้าเต๊ะไปที่ใบหน้าของ วิษณุเขาทั้งคู่จำไม่ได้ว่าถูกทหารซ้อมนานเท่าไหร่ รู้แต่ว่าถูกกระหน่ำด้วยเท้าตลอด และเริ่มคิดว่า ตัวเองคงไม่รอดแน่

เมื่อทหารเต๊ะพวกเขาได้สักพักใหญ่ ทหารก็หิ้วคอเสื้อและลากเขาทั้งคู่ออกมาจากจากบริเวณแถวห้องน้ำมาอยู่ในลาน ปั๊มน้ำมัน ตรงที่เติมลมยางรถ หลังจากลากมา พวกทหารก็รุมกระทืบพวกเขาต่อ เขาทั้งคู่เล่าว่าเขาจำไม่ได้ว่าทหารที่ซ้อมเขานั้นหน้าตาเป็นอย่างไร นายทหารทั้งหมดไม่มีป้ายชื่อติดหน้าอก ทหารทั้งเต๊ะ ทั้งกระทืบ มีนายทหารบางคนพูดว่า พวกมึงทำให้เพื่อนกูตายหลายคน

สุรชัยเล่าว่า หลังจากทหารซ้อมพวกเขาทั้งคู่แล้ว ทหารก็สั่งให้เขาลุกขึ้นมีทหารคนหนึ่งกระชายสร้อยซึ่งเป็นสีทองที่ใส่ตะกรุด ออกจากคอเขาทางด้านหลัง เขาคิดว่าทหารคงเข้าใจว่าเป็นสร้อยทองจึงกระชากออกไป และทหารเริ่มค้นตัวเขา และค้นตัววิษณุวิษณุเล่าว่า เมื่อทหารค้นตัวเขา พบโทรศัพท์มือถือแบล๊คเบอร์ลี่ทหารก็เอาไป เขาเล่าว่า เขาเพิ่งซื้อโทรศัพท์ยี่ห้อนี้มาประมาณ 3 อาทิตย์ ราคา 12,050 บาท เมื่อทหารค้นตัวเสร็จ ทหารก็เอาปืนมาจ่อหัวเขาทั้งคู่และสั่งให้วิ่ง ตอนที่ทหารสั่งให้วิ่ง สุรชัย เพ็ชรพลอยบอกว่า มือของพวกเขาทั้งสองยังถูกมัดไขว่หลังอยู่ และเขาก็เอาลิ้นดุนในปาก เพื่อที่จะบ้วนเลือดเนื่องจากเลือดออกจากปากเยอะมาก ถึงตอนนี้เองที่เขารู้ตัวว่าฟันของเขาซี่บนด้านขวานั้นหักไป 1 ซี่

เขาและวิษณุ ไม่วิ่งหนีตามที่ทหารบอก ทหารก็เงื้อเท้าจะเต๊ะเขาอีก ก็มีนายทหารขึ้นหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พอแล้ว ทั้งคู่เล่าว่า ที่เขาตัดสินใจไม่วิ่งหนี เพราะว่าเขากลัวถูกทหารยิงทิ้ง หลังจากนั้นทหารก็พาเขาเดินออกจากปั๊มน้ำมัน พาข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง และนำตัวเขาทั้งสองคนขึ้นไปในรถบรรทุกของทหารขนาด 6 ล้อ โดยขับรถพาเขาทั้งสองคนไปที่สน.พญาไท เมื่อไปถึงที่สถานีตำรวจ ทหารก็ให้เขาทั้งคู่นั่งรอ ระหว่างรอมีตำรวจเอาน้ำมาให้ทั้งคู่กิน เขาจึงใช้น้ำล้างหน้า ถึงตอนนี้เองทั้งสองคนต่างเห็นว่าเสื้อแต่ละคนนั้นเลอะไปด้วยเลือดและหน้าตา ต่างฟกซ้ำและใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด

หลังจากนั้น ตำรวจก็นำเขาทั้งสองขึ้นไปที่ชั้น 4 เข้าไปในห้องเพื่อสอบสวนเขา ระหว่างรอในห้องสอบสวน ทหารก็อยู่ในห้องด้วย 2 คนและถืออาวุธปืนยาวติดลำกล้องติดตัวตลอด วิษณุ เล่าว่า มีผู้ชายสองคนสะพายกล้องถ่ายรูป และถ่ายรูปเขาทั้งสองคน ตำรวจถามเขาว่าเข้าไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไรและบอกว่า ขนาดตำรวจยังเข้าไปไม่ได้เลย เ ขาก็ตอบไปว่าไม่ทราบ เมื่อนักข่าวถามว่า แล้วเข้าไปอยู่ตรงนั้นเข้าไปทำอะไร เขาตอบว่าไปช่วยคนเจ็บ ทั้งสองคนเล่าว่าตอนที่เขาทั้งคู่มาเข้ามาอยู่ที่ห้องสอบสวนสืบสวน ทั้งคู่เห็น ระเบิดขวดทำมือ หนังสติ๊ก ลูกแก้ว ประทัด วางอยู่บนโต๊ะ เมื่อพวกเขาเข้าไปถึงตำรวจก็ให้พวกเขานั่งอยู่เก้าอี้ด้านหลังโต๊ะที่วางของ เหล่านี้ และมีนักข่าวถ่ายรูป

สักพักหนึ่ง หลังจากนั้นตำรวจก็ให้พวกเขาทั้งสองคนลงชื่อในเอกสาร ตำรวจอธิบายให้เขาฟังว่า เป็นความอาญา และบอกว่าคดีที่ทั้งคู่โดนคือคดีตามเอกสาร ทั้งคู่เล่าว่า พวกเขาไม่ได้อ่านเอกสารเพราะเมื่อลงชื่อเสร็จตำรวจก็ดึงเอกสารไปเลย และเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเอกสารเกี่ยวกับอะไร หลังจากนั้นตำรวจก็ถ่ายรูปและทำประวัติเขาทั้งสองคน เมื่อถ่ายรูปและทำประวัติแล้ว ตำรวจก็พาเขาลงมาที่ชั้นล่างและเอาตัวเขาทั้งสองไปขังไว้ในห้องขังเขา

เขาทั้งสองคนเล่าว่าตอนกลางคืนของวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 นั้น มีเสื้อแดงถูกจับและส่งมาที่ในสน.พญาไท 4 คน ชาย 2 หญิง 2 เป็นสามีภริยากัน เขาทั้งสี่คนบอกว่า พยายามจะเอาข้าวกล่องประมาณ 600 กล่องไปส่งที่ราชประสงค์ เขาทั้งสองคนไม่รู้ว่าคนทั้งสี่นี้ชื่อว่าอะไร รู้แต่ว่าถูกส่งขึ้นศาลพร้อมๆกัน และศาลตัดสินจำคุก 6 เดือน

รุ่งเช้าวันที่ 16 พฤษภาคม ก็มีคนเสื้อแดงเข้ามาอยู่ในคุกเพิ่ม อีกประมาณ 2 คน และแม่ของสุรชัย มาเยี่ยมที่ห้องขังพร้อมกับถือหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่งติดมือมาด้วย เขาจำได้ว่าเป็นหนังสือพิมพ์ข่าวสดลงวันที่16 พฤษภาคม 2553 มีรูปเขาและวิษณุ ลงเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์หน้ากลาง เขาจำได้ว่ามีคำบรรยายใต้ภาพว่าทั้งสองคนพูดจาสื่อสารกันเป็นภาษเขมรเขาทั้ง สองถูกนำตัวขึ้นศาลตอนเช้าของวันที่ 17 พฤษภาคม 2553 เขาทั้งสองจำได้ว่าในวันดังกล่าวนี้ มีคนเสื้อแดงรวมทั้งเขาทั้งสองคนไปขึ้นศาลด้วยกันประมาณ 8 คน เมื่อไปถึงศาล และนั่งรออยู่ในห้อง หลังจากนั้น มีผู้พิพากษาคนหนึ่งซึ่งเป็นคนหนุ่ม ผิวขาว หน้าตาตี๋ๆ เข้ามาในห้อง ผู้พิพากษาเรียกชื่อเขาทั้งสอง และอ่านคำฟ้องให้ฟัง และถามพวกเขาว่าจะรับสารภาพ หรือไม่ พวกเขาตอบว่ารับสารภาพ

สุรชัย เล่าว่าสาเหตุที่เขาตัดสินใจรับสารภาพ เพราะว่าในระหว่างที่เขารอผู้พิพากษา เขาได้ถามตำรวจว่าคดีคนเสื้อแดงถ้ารับสารภาพเขาตัดสินกันอย่างไร ตำรวจก็บอกว่าถ้าไม่มีอาวุธ ก็6 เดือนบ้าง 2 เดือนบ้าง และถ้าไม่รับสารภาพ ก็จะส่งไปที่ค่ายทหาร และต้องอยู่ที่ค่ายทหารประมาณ 30 วัน เขาไม่อยากไปอยู่ค่ายทหารจึงรับสารภาพ

หลังจากที่ศาลตัดสินให้เขาทั้งสองต้องโทษจำคุก สุรชัย ก็ขอประกันตัว แต่ปรากฎว่าศาลไม่ให้ประกันตัว ส่วนวิษณุบอกว่าไม่ได้ขอประกันตัว เพราะว่าเขาไม่มีเงิน สุรชัย เล่าว่า ตอนที่ผู้พิพากษาไม่ให้เขาประกันตัวเขาเข้าใจอย่างลึกซึ่งแล้วว่าความรู้สึก ของ 2 มาตรฐานมันเป็นอย่างไร และยังคิดว่า ขนาดคดีฆ่าคนตาย ยังได้ประกันตัวเลยหลังจากที่ศาลตัดสินให้เขาทั้งสองต้องโทษจำคุก สุรชัย ก็ขอประกันตัว แต่ปรากฎว่าศาลไม่ให้ประกันตัว ส่วนวิษณุบอกว่าไม่ได้ขอประกันตัว เพราะว่าเขาไม่มีเงิน สุรชัย เล่าว่า ตอนที่ผู้พิพากษาไม่ให้เขาประกันตัวเขาเข้าใจอย่างลึกซึ่งแล้วว่าความรู้สึก ของ 2 มาตรฐานมันเป็นอย่างไร และยังคิดว่า ขนาดคดีฆ่าคนตาย ยังได้ประกันตัวเลยสุรชัย เพ็ชรพลอย ถูกกล่าวหาจากพนักงานอัยการว่า เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 เขาได้บังอาจจะเข้าไปร่วมชุมนุมที่แยกราชประสงค์ ขณะที่เขาได้เดินทางมาถึงแยกปั๊มน้ำมันแอสโซ่ ปากซอยรางน้ำ ถนนราชปรารภ ถูกตำรวจและทหาร ซึ่งตั้งด่านตรวจอยู่ที่ใต้สะพานแยกราชปรารภ ได้ตรวจพบเขาที่ปั๊มน้ำมันแอสโซ่ ปากซอยรางน้ำ พร้อมกับอุปกรณ์ที่จะนำไปใช้ในการร่วมชุมนุม ซึ่งได้แก่1.หนังสติกด้ามไม้ 1 อัน 2.ประทัดลักษณะ 3 เหลี่ยม 2 อัน 3.ลูกแก้ว 8 ลูก4.หน้ากากกันแก๊ส1 อัน 5.โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง 6.กระเป๋าสะพาย 1 ใบ 7.หมวกแก็ปสีดำ 1 ใบ จึงขอให้ลงโทษตามพรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548

สุรชัย เพ็ชรพลอย ถูกผู้พิพากษาประจำศาลแขวงดุสิตพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามที่พนักงานอัยการฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง และเนื่องจากขณะนี้บริเวณที่เกิดเหตุในคดีนี้เกิดการจลาจลขึ้น มีความวุ่นวายและมีเหตุไม่สงบสุขการกระทำความผิดของจำเลยเป็นการกระทำที่ไม่ ยำเกรงกฎหมายบ้านเมืองจึงเห็นควรลงโทษสถานหนักเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ ไม่ดีต่อประชาชนโดยทั่วไป จำคุก 1 ปี

ส่วนวิษณุ กมลแมนนั้น ศาลถูกตัดสินจำคุก 6 เดือน

ทั้งคู่ยืนยันว่าแม้ศาลจะตัดสินว่าเขามีความผิด แต่เขาไม่ได้กระทำผิดใดๆทั้งสิ้น พวกเขาไปอยู่แถวนั้นเพราะต้องการช่วยคนเจ็บเท่านั้นเองทั้งสองคนไม่ได้ อุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดแล้ว วิษณุ กมลแมน จะออกจากเรือนจำคลองเปรมในวันที่ 16 พฤษภาคม 2553 ส่วนสุรชัย เพ็ชรพลอย นั้น เขาบอกว่าหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาจะออกจากเรือนจำคลองเปรม ในวันที่16 พฤษภาคม 2554 ซึ่งเป็นวันใกล้ๆครบรอบ 1 ปี ในการลอบฆ่าประชาชน ขณะนี้เขาเริ่มปรับตัวกับสภาพที่เขาอยู่ในคุกได้แล้ว และเขาได้ทราบข่าวจากเพื่อนๆที่อยู่ในคุกด้วยกันว่า ข้างนอกนั้นมีการชักชวนเขียนจดหมายถึงนักโทษการเมือง หากคนใดที่สนับสนุนการต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ก็เขียนจดหมายมาถึงเขาได้

No comments:

Post a Comment