Saturday 23 October 2010

รัฐบาลอังกฤษยืนยันคนไทยได้รับการรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยในประเทศอังกฤษ



เนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงและปัญหาทางการเมืองในประเทศไทย และการุคุกคามทางการเมืองและการจับกุมคุมขังฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง เมื่อไม่นานมานี้ Asian Correspondent ได้เผยแพร่บทความที่ระบุว่ารัฐบาลอังกฤษได้รองสถานภาพผู้ลี้ภัยในอังกฤษ

ผมได้รับการยืนยันจากรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษที่รับผิดชอบและมีอำนาจในการตัดสินใจรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยในประเทศอังกฤษว่า มีคนไทยอย่างน้อยหนึ่งคนได้รับการรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยจริงในประเทศอังกฤษเมื่อปีที่แล้ว

โดยคำยืนยันดังกล่าวมาจาก โฆษกของสำนักงานตรวจสอบคนเข้าเมือง ซึ่งทำงานให้กับรัฐมนตรีที่มีหน้าที่กำกับสำนักงานคนเข้าเมือง

นอกจากจากนี้ ผู้เขียนยังได้ติดต่อสภาผู้ลี้ภัยในประเทศอังกฤษเพื่อยืนยันข้อมูลดังกล่าว

นอกจากนี้ ผมยังติดต่อสภาผู้ลี้ภัย ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระหน่วยงานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษ ที่ดูแลเรื่องการขอลี้ภัยทางการเมือง เพื่อที่จะสอบถามว่าเอกสารวีซ่าที่สตรีไทยผู้ได้รับการรับรองสถานภาพทางการเมืองแสดงให้ผมดูนั้นเป็นเอกสารจริงหรือไม่ สภาผู้ลี้ภัยกล่าวว่า เอกสารดังกล่าวน่าจะเป็นเอกสารจริง แต่หากจะให้แน่ใจจริงๆ จะต้องส่งเอกสารดังกล่าวไปให้เจ้าหน้าที่ไปให้เจ้าหน้าตรวจสอบคนเข้าเมืองพิจารณา

และนี้คือหลักฐานภาพถ่ายเอกสารวีซ่าและเรื่องราวของผู้ที่ได้รับการรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัย

Thursday 14 October 2010

บทสัมภาษณ์คนไทยที่ลี้ภัยในอังกฤษ ภาค 2 (มีหลักฐานประกอบ)

โดยแอนดรูว์ สปูนเนอร์

หลังจาก Asian Correspondent (แปลภาษาไทย) ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์คุณตาล สตรีชาวไทยที่ได้รับการรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยทางการเมืองจากเจ้าหน้าที่รัฐอังกฤษ ก็ได้เกิดคำถามว่าบทสัมภาษณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องจากหรือไม่

ในกรณีดังกล่าว ผมอย่างจะกล่าวว่า

หลังจากได้รับการรับรองสถานภาพ ผู้ลี้ภัยทุกคนจะยังคงถือพาสปอร์ตจากประเทศของตนเองและจะได้รับวีซ่าพำนักอาศัยเป็นเวลา 5ปี สำหรับกระบวนการในการยื่นขอสามารถอ่านได้ที่เวปไซต์ของ UK Border Agency นี่คือตัวอย่างหลักฐาน







นอกจากนี้ ผู้ที่ถือวีซ่าดังกล่าวจะได้รับสิทธิ์ได้รับสวัสดิการสังคม การศึกษา และสิทธิอื่นๆเทียบเท่าพลเมืองอังกฤษ

คู่สมรสชาวไทยที่ติดตามสามีชาวอังกฤษ จะต้องยื่นขอวีซ่าคู่สมรสก่อน โดยวีซ่านั้นมีระยะเวลา 2ปี หลังจากนั้นสามารถยื่นขอวีซ่าพำนักถาวรได้ และผู้ถือวีซ่าคู่สมรสมีสิทธิเข้าถึงสวัสดิการของรัฐอย่างจำกัด

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่า คนไทยคนหนึ่งตกอยู่ในอันตรายและถูกคุกคามจากรัฐไทยและกลุ่มคนที่ได้รับการปกป้องจากรัฐไทย (อย่างกลุ่มพันธมิตร) จนต้องหนีออกนอกประเทศ แต่นี่คือเรื่องจริง

Wednesday 13 October 2010

บทสัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวไทยในประเทศสหราชอาณาจักร

ช่วงต้นเดือนนี้ ผมมีโอกาสได้พบกับสตรีชาวไทยท่านหนึ่งที่ได้รับอนุญาตให้ตั้งถิ่นฐานในประเทศสหราชอาณาจักรเพราะได้รับการรับรองสถานะผู้ลี้ภัย เธอพำนักอยู่ในบ้านซึ่งตั้งอยู่ในเมืองแบบอังกฤษอันเรียบง่าน  ตาล (นามสมมุติ เนื่องจากเหตุผลของความปลอดภัย) พยายามอดทนกับคำข่มขู่จากคนที่เธอแน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มหัวรุนแรงฝ่ายขวาอย่างพันธมิตร และทำให้เธอรู้สึกจำเป็นที่จะต้องหลบหนีออกจากประเทศไทยและแสวงหาสถานภาพผู้ลี้ภัยจากประเทศอื่น เจ้าหน้าที่รัฐอังกฤษได้รับรองสถานภาพของเธอ (เจ้าหน้าที่รัฐอังกฤษจะรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยก็ต่อเมื่อมีหลักฐานชัดเจนเท่านั้น) ในปัจจุบันเธอได้รับสิทธิให้อาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษ 5 ปี (หลังจากนั้นสามารถยื่นขอสถานภาพพลเมืองได้)

ผู้อ่านจะต้องไม่ลืมว่า ในขณะที่รัฐบาลไทยพยายามกำจัดคนเสื้อแดงอย่างอำมหิต แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลไทยกลับไม่ลงโทษกลุ่มฝ่ายขวาหัวรุนแรงกลุ่มพันธมิตรและผู้สนับสนุนจากการกระทำของกลุ่มคนเหล่านี้เลย ดูราวกับว่ากลุ่มพันธมิตรและผู้สนับสนุนสามารถก่อความรนแรงหรือขู่กรรโชกผู้คนได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำนั้น ซึ่งทำให้เกิดคำถามตามมาว่า กลุ่มหัวรุนแรงพันธมิตรกระทำการดังกล่าวในนามของกลุ่มผู้นำที่มีอำนาจหรือไม่? หากเป็นเช่นนั้นจริง ประชาชนชาวไทยสามารถคาดหวังความคุ้มครองภายใต้หลักนิติรัฐจากรัฐบาลเมื่อถูกข่มขู่จากกลุ่มพันธมิตรได้หรือไม่? คำตอบเดียวในตอนนี้คือ เจ้าหน้าที่รัฐอังกฤษดูเหมือนจะเห็นด้วยที่ว่ารัฐบาลไทยไม่สามารถทำได้


ดิฉันเป็นคนไทยและจบปริญญาโทจากมหาลัยธรรมศาสตร์ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ในปี 2549 หลังจากที่จบการศึกษา ดิฉันได้ทำงานในตำแหน่งนักวิจัยให้กับองค์กรระหว่างประเทศเอ็นจีโอ ดิฉันเดินทางออกจากประเทศไทยในต้นปี 2552 เพราะมีคนโทรศัพท์มาขู่ฆ่าดิฉันทางโทรศัพท์มือถือส่วนตัว สามีดิฉันได้รับจดหมายคุกคามที่ถูกส่งไปยังที่ทำงาน และถูกข่มขู่หลายครั้งจากผู้สนับสนุนการทำรัฐประหารในปี 2549 สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยแย่ลงอย่างต่อเนื่อง และมีความกังวลถึงเรื่องสภาวะที่ไร้ความยุติธรรมและระบบนิติรัฐ กลุ่มพันธมิตรกระทำการอันรุนแรงทางการเมืองทุกวัน และกฎหมายที่กดขี่ถูกใช้เป็นเครื่องมือคุกคามผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ดิฉันทิ้งทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมดไว้ที่บ้านพักในกรุงเทพ และเดินทางมาที่พร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบเล็กเพียงหนึ่งใบ ดิฉันต้องลาออกจากงาน ทิ้งเพื่อนและครอบครัวไว้ข้างหลัง และในเวลานั้นดิฉันไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศมาก่อน

ดิฉันยื่นขอสถานภาพลี้ภัยทางการเมืองในประเทศสหราชอาณาจักรด้วยเหตุผลง่ายๆที่ว่า หากดิฉันเดินทางกลับไปยังประเทศไทย ดิฉันอาจจะเสี่ยงต่อการถูกคุกคามจากกลุ่มคนและเจ้าหน้าที่รัฐเพราะกิจกรรมทางการเมืองของดิฉัน และความสัมพันธ์ใกล้ชิดของดิฉันกับสามี ตั้งแต่ปี 2543 เราได้เขียนหนังสือบทความ และดำเนินโครงการเกี่ยวกับสิืทธิมนุษยชนร่วมกันหลายโครงการ เราทั้งสองคนไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำอันรุนแรงใดๆ เราเพียงแค่สนับสนุนประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ต่อต้านการทำรัฐประหารในปี 2549  และการทำลายระบอบประชาธิปไตยในภายหลังเท่านั้น

กลุ่มคนที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐที่ดิฉันกล่าวถึงคือกลุ่มผู้สนับสนุนกลุ่มเผด็จการฟาสซิสต์พันธมิตรที่ยึดและทำลายทำเนียบรัฐบาล ใช้ความรุนแรงและอาวุธนอกรัฐสภา และยังยึดสนามบินนานาชาติถึงสองแห่งในปี 2551 ในฐานะที่ดิฉันเป็นนักกิจกรรมเอ็นจีโอ ดิฉันจึงรู้จักผู้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรเป็นการส่วนตัว และพวกเขารู้จักดิฉันดีพอที่จะข่มขู่เอาชีวิตดิฉันทางโทรศัพท์มือถือ และยังด่าทอดิฉันต่อหน้าในขณะที่ดิฉันทำงาน
   
เวลาที่คนเหล่านั้นโทรมาข่มขู่ดิฉัน พวกเขาจะพูดว่า ระวังตัวให้ดี แกจะถูกอุ้มฆ่า .. แกจะถูกยิง .. “ระวังตัวไว้ให้ดีเวลาไปไหนมาไหน เพราะแกจะถูกอุ้มฆ่า ในเวลานั้น ดิฉันพยายามไม่ใส่ใจคำข่มขู่เหล่านี้ เพื่อที่จะสามารถดำเนินชีวิตให้เป็นปกติสุขในระดับหนึ่ง

เวปไซต์กลุ่มพันธมิตร อย่างเช่น ASTV ได้เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวและปลุกระดมให้มีการใช้ความรุนแรงกับนักกิจกรรมผู้เรียกร้องประชาธิปไตยคนเสื้อแดง การคุกคามโดยกลุ่มคนและเจ้าหน้าที่รัฐนั้นรวมไปถึงประชาทัณฑ์ ซึ่งนำไปสู่การบาดเจ็บและเสียชีวิต และการลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของฝ่ายตรงข้ามด้วย

ดิฉันต้องแสดงหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่รัฐอังกฤษว่าดิฉันเสี่ยงต่อการถูกคุกคามจากกลุ่มคนและเจ้าหน้าที่รัฐเพราะระบบนิติรัฐถูกทำลายและความรุนแรงทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 ความรุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2549 โดยการกระทำของเจ้าหน้ารัฐไทยและรวมไปถึงกลุ่มผู้สนับสนุนพันธมิตรอีกด้วย ซึ่งการกระทำนั้นรวมถึงการที่ทหารยิงผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ จำนวนนักโทษทางการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดิฉันต้องพิสูจน์ให้เจ้าหน้าที่รัฐอังกฤษเห็นว่าสิทธิมนุษยชนและระบบนิติรัฐในประเทศได้เสื่อมโทรมลงอย่างรุนแรง โดยดิฉันสามารถพิสูจน์ให้เจ้าหน้าที่รัฐที่นี่เห็นว่าคณะรัฐบาลไทยเต็มไปด้วยสมาชิกลุ่มพันธมิตรและมีกองทัพหนุนหลัง นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวกิจกรรมทางสิทธิมนุษยชนผู้มีชื่อเสียงชาวอังกฤษได้เขียนจดหมายรับรองดิฉันในการยื่นขอสถานภาพผู้ลี้ภัย ดิฉันยังได้ยกรายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และบทความในหนังสือพิมพ์ที่น่าเชื่อถือประกอบการยื่นขอนี้ด้วย

ในปัจจุบันดิฉันได้รับการรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยและมีสิทธิพำนักในประเทศสหราชอาณาจักได้ 5ปี และขณะนี้ดิฉันกำลังศึกษาวิชาภาษาอังกฤษ

ข้อมูลเพิ่มเติม 

ติดต่อ อีเมลล์ thailandsolidarity@gmail.com 

facebook Thailand Solidarity

Monday 4 October 2010

The voice of Thailand's political prisoners.

T
**This report has been written by the Social Movement Assembly and sent to me by Mr. Chaiwat Trakanratsanti. Chaiwat told me that Mr. Krissana was questioned by  his lawyer during a visit.

Chaiwat told me that only relatives with the same last name are allowed to visit them and only on Monday. Krissana’s good friend once tried to visit him and have Krissana’s parents sign a consent form but still his friend wasn’t allowed to see Krissana.**


Mr. Krissana Tanchayaphong, aged 34, and Mr. Surachai Pringphong, aged 19, were arrested by soldiers around 9 p.m. on May 16, 2010. Both of them and an undisclosed male minor (under 18) left the Red Shirts demonstration at Ratchaprasong at around 8 p.m. and first went to fetch their car which was parked at Pratunwan intersection and then they drove to Soi Chula 12 (Prayathai Road). They were heading to Watchaimongkol, Rama I road where Surachai’s residence is.

Surachai and Krissana stated they were members of the Sereepanyachon (Free Intellectuals] group (เสรีปัญญาชน). Most of its members are university students; the group supported the Red Shirts’ call for Abhisit’s govt to dissolve the parliament. That was the reason why both of them and other friends had joined the Red Shirt demonstration on that day. After members of the group gave speeches on the Ratchaprasong stage, they all dispersed and went home. The unnamed male minor and the two men went home together. When they drove to Soi Chula 12, there was a checkpoint there set up by army. When they first saw the checkpoint, they thought there would be only 4-5 soldiers. Krissana pulled over without any resistance when a soldier asked him to stop.

Krissana stated that when the three of them got out from the car, suddenly they were surrounded by a large group of up to 20 armed soldiers who began searching them. The soldiers seized their cameras and mobile phones as well as tying their arms behind their backs. They were ordered to kneel down and face the wall.  While they were kneeling down, they felt that the soldiers were pointing the guns to their heads the entire time but they were too afraid to even turn around and look.

After they had knelt down for a while, one soldier came in and questioned them. The soldier asked “Do you know anything about the Red Shirt demonstration” , “Who is the core Red Shirt guards?”, “Where have the weapons been hidden? ” and he also asked which guards were shooting at soldiers. While they were questioned a group of soldiers were pointing guns to their heads the whole time and were also threatening them that there would be other soldiers coming to question them if they didn’t disclose this information.

Krissana told the soldiers that he didn’t have such information; he was just an ordinary citizen who joined and supported the Red Shirt demonstration.

There was another soldier with a black mask on who came in the room a few second after Krissana said that. The soldier was threatening them by saying if they didn’t tell the truth, he would choke them. But the three of them still insisted they didn’t have such information. Krissana stated that after answering, the soldier with the black mask on started to choke each of them for 30 seconds. Krissana also added that the solider used two fingers to choke him and he had struggled to stay conscious. His two friends were also choked, kicked and their backs were walked on. It was 45 minutes in total that they were questioned and tortured to give out information about the demonstration, and the soldiers also video recorded everything during the interrogation.

Another soldier then appeared whom the other soldiers saluted as he walked in. Mr. Krissana assumed this soldier was a higher-ranking officer. The “higher-ranking” officer then soaked the bodies and faces of the three men in lighter fluid.

After he finished, he stepped back from them, about one metre away, and then lit a lighter. After that the soldiers put fireworks on the back of their shirts and threatened to burn them alive if they didn’t give out the information.

During the interrogation, the soldiers also whipped them and it was really painful for them.

Krissana also added that the soldiers downloading pictures from their cameras and mobile phones to a laptop during the torture and interrogation. In their cameras were pictures of the three of them while they were waiting to give a speech on the Red Shirts stage at Ratchaprason, and also picture of Surachai giving a speech on the Ratchaprasong stage.  After the soldiers finished downloading all the pictures, the soldiers shouted to their fellows that the three of them were liars and were associated with the Red Shirts. They were also asked how much they were paid to join the Red Shirt demonstration.

After the three of them were brutally beaten up by the soldiers until they were satisfied, the soldiers handed them a piece of paper to sign. When Surachi and Krissana signed, they didn’t read or want to read that document either since they were fearing for their lives; they were afraid that if they were too slow in signing that paper, they might just be shot dead or disappeared. While they were signing the document, the soldier with the black mask on also threatened to kill and burn them alive if they didn’t confess in front of journalists.


Krissana also noticed that these soldiers didn’t have badges on their uniforms to indentify who they were and what their positions were, therefore he has no idea who these soldiers, whose salaries come from citizen’s pocket, are.

After being threatened and tortured for a while, they were ordered to turn their faces toward the soldiers who were standing in line. They saw the soldiers spreading blanket on the floor and starting placing things on the blanket. Those things were fireworks, lighters, slingshots, catapult ammunitions and a can which smelled of gas.

The soldiers told them that the journalists were being called in and if they said anything differently from what they were told to say, they would be killed and burnt alive.

One of soldier then contacted the journalists and while waiting, they were so afraid that the soldiers would torture them more heavily.

After 10 minutes, 5-6 journalists appeared and when they were interviewed, they said that they had only joined the Red Shirts demonstration.

After the journalists dispersed, the soldiers again threatened them and said that they were in such a pain because they had refused to answer the journalist as they were told. One more time, the soldiers told them to sign another document. They didn’t read the document since they thought it was useless to read and at that moment, they only wished they would come out alive and be sent to a police station as soon as possible.

When police arrived, they were put into police car, and headed off to Pratumwan police station. When they arrived at the police station, about 10 soldiers were there telling the police to write reports according to what was given to them by the soldiers. Krissana stated that the police didn’t ask him a single question. The police just wrote whatever was in the soldier’s report. The three of them were denied the right to see or consult with their legal representative as well as being denied the right to see or even call their relatives.

About 10 soldiers came inside the investigation police office with weapons and told the three of them that they would be killed of they refused to confess.

Krissana also stated that when he arrived to the police station, the investigating officer told him not to be so anxious because he would help him out since there are a lot of us ( he meant Red Shirts)  in this police station but Krissana was still denied the right to contact or consult with his relatives or someone who he could trust.

After signing the document, they were sent to the jail at the police station; the cell was very small and the washroom was dirty and smelly. A few people were in there already so including [the three] would [make it] five people. Krissana slept in front of the washroom and used a bottle of water as his pillow. Surachai and Def were sleeping next to them. Surachai and Def said they could only half sleep since they were bitten by mosquitoes all night.

They were all woken up by the police around 4-5 a.m. They were asked to sign a document. They didn’t read document since it was useless and they feared that their families might be harassed and be in trouble.

On May 17, 2010, the police took Surachai and Krissana to Patum Thani municipal court, and unnamed minor was taken to juvenile court.

The Patum Thani municipal court sentenced them to a year in jail on May 17, 2010, which was the same day they were prosecuted. According to the court, the country was in violence state that could possibly harm people’s lives and property, but the two defendants (Krissana and Surachai) did nothing but to violate the laws which worsened the situation. The possessions in dispute that were seized from the defendants that could also be used to create violence were:

1. three knives 
2. one slingshot ( with 20 catapult ammunitions)
3. one brassknuckle
4. one fake gun
5. one fake gun
6. one firework
7. one lighter
8. one bottle of gas
9. one mobile phone
10.  three cameras.

The two of them were found guilty according to the state decree 2005 section 9 (2) and section 18 along with section 83 of the penal code. They were sentenced to two years in jail but since they confessed, the penalty was reduced to one year.

Krissana and Surichai insisted they didn’t have any weapons as they had been accused by the soldiers, prosecutors and the court.

Their cases are now in the appeals court. They both were denied bail because the court said that they might commit another crime and run away.

They both want to be released and also insist that they are not guilty of what they’ve been are accused of, even though they had confessed in the court. They said people do have rights to join demonstrations.

They are now imprisoned in Section 8 of Klong Prem prison along with seven other Red Shirts they had not know before. All of them are charged with state decree violations.

Since they have been imprisoned there, only relatives with same last name have been allowed to visit and they can only be visited on Mondays. Visitors with a different last name are allowed to visit them only when their relatives with same last name sign a consent form.


They said due to the draconian regulations of visiting, they had started to write letters to their friends. Those who believe in justice and are not able to be with them, please write to them at:

Klong Prem Prison ( section 8)
33/2 Ngamwongwan Road.
Ladyao Chatuchuchak district.
Bangkok 10900

1. Mr. Krissana Tanchayaphong (นายกฤษณะ ธัญชยพงศ์)
2. Mr. Surachai Pringphong (นายสุระชัย พริ้งพงศ์)
3. Mr. Sawang Jongganya (นายแสวง จงกัญญา)
4. Mr. Witsanu Kamonman (นายวิษณุ กมลแมน)
5. Mr. Apiwat Kerdnok (นายอภิวัฒน์ เกิดนอก)
6. Mr. Amnoy Chaisansuk (นายอำนวย ชัยแสนสุข)
7. Mr. Prayoon Sutapinit (นายประยูร สุรพินิต)
8. Mr. Sommai Intanaka (นายสมหมาย อินทนาคา)
9. Mr. Eakkasit Manngam (นายเอกสิทธิ์ แม่นงาม)



Sunday 3 October 2010

เสียงจากนักโทษการเมือง

สมัชชาสังคมก้าวหน้า รายงาน

                    กฤษณะ ธัญชยพงศ์ อายุ 34 ปี  กับ สุรชัย พริ้งพงศ์ อายุ 19 ปี  ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2553  เวลาประมาณ 3 ทุ่ม ทั้งสองถูกทหารจับกุม ขณะที่ คนทั้งสองและรุ่นน้องที่มาด้วยกันที่เป็นเยาวชนอีก  1 คน เดินทางโดยรถยนต์ออกจากที่ชุมนุม แยกราชประสงค์ประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ เพื่อมาเอารถยนต์ที่จอดไว้ที่สี่แยกปทุมวัน และขับรถออกจากสี่แยกปทุมวัน มุ่งหน้าไปที่แยกซอย จุฬา 12(ถนนพญาไท) เพื่อที่จะออกไปที่ถนนพระราม 1 โดยมมีจุดมุ่งหมายว่า ที่ไปแถววัดไชยมงคล แถวพระราม 1 เนื่องจาก สุรชัย พริ้งพงษ์ พักอยู่แถวนั้น

                    ทั้ง สองเล่าให้ฟังว่า เขาทั้งสอง เป็นสมาชิกกลุ่มเสรีปัญญาชน ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา ทางกลุ่มฯสนับสนุนการต่อสู้ของ นปช. และต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะยุบสภา ทั้งเขาและเพื่อนๆอีกหลายคนจึงมาร่วมชุมนุมกับ นปช. ในวันเกิดเหตุ หลังจากที่สมาชิกในกลุ่มได้ขึ้นเวทีปราศัยที่ ราชประสงค์เสร็จแล้วพวกเขาในกลุ่มต่างแยกย้ายกันกลับ โดยคนที่กลับพร้อมกับเขาทั้งสองคนมีรุ่นน้องอีกคนหนึ่งที่เป็นเยาวชนชื่อ เดพเมื่อขับรถมาถึง ซอยจุฬา 12 มีการตั้งด่านปิดกั้นเส้นทางโดยเจ้าหน้าที่ทหาร ตอนแรกที่เห็นด่านสกัด ทั้งสองคนคิดว่า ทหารน่าจะมีจำนวน 4-5 คนเมื่อทหารโบกรถให้จอด กฤษณะ ซึ่งเป็นคนขับรถก็จอดรถแต่โดยดี ไม่ได้อิดเอื้อน

                    กฤษณะ เล่าให้ฟังว่า เมื่อพวกเขาทั้งสามคน ลงจากรถ ทันทีทันใดนั้น ก็มีทหารจำนวน ประมาณ 20 คน กรูมาหาเขาทั้งสามคน และทำการตรวจค้นร่างกายของพวกเขา ทั้งยึดเอา โทรศัพท์มือถือ  กล้องถ่ายรูปของพวกเขาไว้  พร้อมกับมัดมือไขว่หลังเขาทั้งสามคนและให้เขาหันหน้าข้าหากำแพงและคุกเข่า ลง ซึ่งขณะที่เขาทั้งสามคุกเข่าลงนั้น  เขารู้สึกว่า มีปืนจ่อหัวเขาทั้งสามคนอยู่ตลอดเวลา แต่เขาทั้งสามคนก็ไม่กล้าเหลือบตามอง

                    หลังจากที่เขาทั้งสามคนคุกเข่า สักพักหนึ่ง ก็มีทหารคนหนึ่งเดินมาถามเขาว่า รู้อะไรเกี่ยวข้องกับม๊อบ ?  การ์ดคนไหนสำคัญ?  มีอาวุธซ่อนอยู่ตรงไหนบ้าง  และถามว่าการ์ดคนไหนใช้อาวุธยิงต่อสู้กับทหาร และขณะที่ตั้งคำถามทหารก็เอาอาวุธปืนมารุมจี้หัวเขาทั้งสามคนตลอดเวลา พร้อมกับทั้งขู่ว่าถ้าไม่บอกข้อมูลตามที่ถามมา  ก็จะให้อีกพวกมาสอบถามข้อมูล
                     กฤษณะ ตอบทหารไปว่า เขาไม่รู้เรื่องที่ทหารถามมา เขาเป็นแค่คนที่มาร่วมชุมนุมและสนับสนุนการชุมนุมของเสื้อแดงเท่านั้น

                    หลังจากที่กฤษณะตอบไปเช่นนั้น หลังจากนั้นประมาณ ไม่ถึงนาที ก็มีทหารใส่หมวกไอ้โม่งเดินมาพร้อมกับขู่ว่า ถ้าหากไม่บอกข้อเท็จจริงก็จะบีบคอทั้งสามคน แต่ทั้งสามคนก็ไม่มีคำตอบอะไร เมื่อเขาทั้งสามไม่มีคำตอบอย่างที่ทหารต้องการ ทหารคนที่ใส่หมวกไอ้โม่งก็บีบคอพวกเขาทั้งสามประมาณ 30 วินาที     กฤษณะเล่าต่อไปว่า เมื่อทหารมาบีบคอเขา ทหารใช้นิ้ว 2 นิ้วมาบีบคอ  เขารู้สึกหายใจไม่ออก ส่วนเพื่อนอีก 2 คนนั้น ทั้งถูกบีบคอ กับถูกเต๊ะ และถูกกระทืบที่ด้านหนัง  เหตุการณ์ที่ทหารพยายามเค้นคำตอบกับพวกเขาและบีบบังคับ คุกคามให้เขาบอกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการชุมนุมออกมานั้น ใช้เวลาไปทั้งหมด ประมาณ 45 นาที ตลอดเวลาที่ทหารเค้นคำตอบจากเขาทั้งสามคน ก็จะมีทหารถ่ายวิดีโอเทปไว้ตลอดเวลา


                    เมื่อพวกเขาไม่มีข้อมูลและไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับแกนนำ หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง ก็มีนายทหาร ซึ่งเกฤษณะเข้าใจว่าน่าจะเป็นหัวหน้า เพราะเมื่อเขาเดินมา ทหารแถวนั้นแสดงความเคารพ

                    เมื่อนายทหารคนนั้นเข้ามา ก็เอาน้ำมันรอนสันเทราดใส่ผม และใบหน้าทั้งสามคน และนายทหารคนนั้นก็ถอยไปยืนห่างจากพวกเขาทั้งสามคนประมาณ 1 เมตร และจุดไฟแช๊ค  เมื่อจุดไฟแช๊คแล้วทหารคนนั้น ก็เดินมาที่พวกเขาทั้งสามคนพร้อมกับทั้งเอาพลุมาเสียบใส่ด้านหลังเสื้อของ พวกเขาทั้งสาม และขู่ว่าจะจุดและเผา หากไม่บอกข้อมูล

                     ในระหว่างการเค้นเอาข้อมูล ทหารก็ใช้ แส้เชือกเส้นเล็กๆ มาเหวี่ยงตี พวกเขาทั้งสามคน ซึ่งเขาทั้งสามรู้สึกแสบหลังมาก


                    กฤษณะเล่าว่า ขณะที่พวกเขาทั้งสามคนถูกทหารขู่ ระหว่างนั้น ทหารก็เอากล้องถ่ายรูป โทรศัพท์มือถือของพวกเขาไปโหลดข้อมูลใส่ใน โน๊ตบุ๊คของทหาร ในกล้องถ่ายรูปนั้น มีภาพนิ่งที่พวกเขาถ่ายรูปไว้ขณะรอขึ้นเวทีของ นปช.ที่เวทีราชประสงค์ และมีภาพขณะที่สุรชัยฯ ขึ้นเวทีพูดปราศัยที่ราชประสงค์ เมื่อทหารโหลดข้อมูลพบจึงกล่าวหาว่า พวกเขาทั้งสามคนโกหกทหารและตะโกนบอกพวกๆทหารกันว่า เราทั้งสามคนเกี่ยวโยงกับ นปช. และถามพวกเขาว่า รับจ้างมาได้เงินคนละเท่าไหร่


                    หลังจากทหารกลุ่มนั้นซ้อมเขาจนเป็นที่พอใจแล้ว  ก็เอากระดาษมาให้ลงชื่อ ซึ่งตอนลงชื่อนั้นทั้งสุรชัย และกฤษณะไม่ได้อ่านข้อความในเอกสารนั้นด้วย  อีกทั้งเขาทั้งสองก็ไม่สนใจจะอ่านด้วย เนื่องจากกลัวว่าหากแม้แต่ลงชื่อช้าไปแม้แต่วินาที เขาคงจะถูกยิงตายหรือหายสาปสูญไปก็ได้  ในขณะที่พวกเขากำลังลงชื่อในเอกสาร  ทหารที่สวมใส่หมวกไอ้โม่ง ก็ขู่อีกครั้งว่า ถ้าไม่ยอมรับสารภาพต่อหน้าผู้สื่อข่าว จะพาพวกเขาทั้งสามคนไปฆ่าและไปนั่งยาง



กฤษณะ เล่าว่า เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่า ทหารกลุ่มพวกนี้ ไม่มีป้ายบอกชื่อ ยศ และตำแหน่ง เขาไม่รู้เลยว่าเจ้าหน้าที่ทหาร ที่ประชาชนไทยเป็นคนจ่ายเงินเดือนให้นั้นชื่ออะไรบ้า


                    หลังจากถูกทหารข่มขู่ และทรมาณ สักพักใหญ่ ก็มีเสียงทหารเรียกให้พวกเขา หันหน้ามาหาทางที่ทหารยืนแถวอยู่ และเขาทั้งสองคน ก็เห็นทหาร เอาผ้ามาวางปูที่พื้น และเอาสิ่งของต่างๆมาวางไว้ที่ผ้าปูพื้น เท่าที่เขาจำได้  เป็นพวก  พลุ ไฟแช๊ค หนังสติ้ก ลูกหนังสะติ๊ก กระป่องและมีกลิ่นน้ำมันติดอยู่ในกระป๋อง

                    เขาจำได้ว่าพอถึงตอนนี้ ทหารบอกว่า เขาจะเรียกผู้สื่อข่าวมา และถ้าไม่รับสารภาพต่อหน้าผู้สื่อข่าว หรือพูดแตกต่างไปจากที่ให้พูด จะพาพวกเขาทั้งสามคนไปนั่งยางและเผา

                    หนึ่งในกลุ่มทหารนั้นก็ ติดต่อเรียกผู้สื่อข่าวมา ระหว่างรอผู้สื่อข่าวมา กฤษณะเล่าว่าเขารู้สึกเป็นกังวลมากว่าทหารจะทำทำมากกว่าที่ทำอยู่


                    หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที ผู้สื่อข่าวก็มากันประมาณ 5-6 คน เมื่อนักข่าวถามเขาทั้งสามคน กฤษณะก็ตอบว่า เขาแค่มาร่วมชุมนุมกับ คนเสื้อแดง เท่านั้น


                    หลังจากผู้สื่อข่าวแยกย้ายจากไปแล้ว ทหารก็มาข่มขู่อีกว่า ทั้งสามคนกวนตีน ทหาร โดยกล่าวหาว่าทั้งสามคนโกหกพวกเขา ไม่ตอบผู้สื่อข่าวอย่างที่ให้ตอบ และทหารก็เอกสารมาให้เขาทั้งสามคนลงชื่ออีก  ทั้งสามคนก็ลงชื่อโดยไม่ได้อ่านเหมือนกัน เพราะรู้ดีว่า อ่านไปก็ไม่มีประโยชน์ ขอเพียงแต่ให้รอดตายก็เพียงพอ และให้ไปถึงมือตำรวจโดยเร็วแค่นั้น


เมื่อตำรวจมาถึง ตำรวจก็พาพาเขาทั้งสามคนไปขึ้นรถผู้ขัง และขับส่งไปที่สน.ปทุมวัน เมื่อมาถึงสน.ปทุมวันมีทหารตามมาที่สน.ประมาณ 10 คน และบอกร้อยเวรว่าให้ทำสำนวนตามที่ทหารเขียนมา กฤษณะเล่าว่า ตำรวจไม่ได้เป็นคนสอบถามปากคำด้วยตนเองเลย  ตำรวจเขียนสำนวนตามบันทึกที่ทหารทำมา เขาไม่มีสิทธิที่จะพบหรือปรึกษาทนายความ ไม่มีสิทธิพบหรือโทรศัพท์หาญาติ แต่อย่างใดเลย


เมื่อขณะที่ทหารเดินเข้ามาที่ห้องสืบ สวนของร้อยเวร ทหารมาประมาณ 10 คน และพกพาอาวุธมาด้วย และขู่ว่าถ้าไม่รับสารภาพตามที่บอก ก็จะไม่เลี้ยงไว้


                    กฤษณะบอกว่า ในขณะที่เขามาถึงสน. ปทุมวัน ตำรวจที่เป็นร้อยเวร ก็บอกว่าไม่ต้องกังวลเดี๋ยวเขาช่วย  สน.นี้พวกเราเยอะ(หมายถึง เสื้อแดงเยอะ) แต่สุดท้าย กฤษณะ ก็บอกว่า เขาก็ไม่มีสิทธิติดต่อญาติและปรึกษาคนที่เขาไว้วางใจอยู่ดี


                    หลังจากลงชื่อในเอกสารเสร็จ  ตำรวจก็ส่งเขาทั้งสามเข้าไปในห้องขัง  ที่ สน.ปทุมวันนั้น ห้องขังเล็ก แคบ  ห้องน้ำส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง  มีคนอยู่ในห้องขังนั้นอยู่แล้วรวมพวกเขาด้วยก็ 5 คน กฤษณะนอนหน้าห้องน้ำ  เอาขวดน้ำเปล่าหนุนแทนหมอน ส่วนสุรชัย และ เดพ สหรัฐ รุ่นน้องที่มาด้วยกันอีกคนหนึ่งนอนถัดจากเขาไป สุรชัย กับกฤษณะ เล่าว่า พวกเขานอนหลับบ้างไม่หลับบ้าง เนื่องจากยุงเยอะ


          ทั้งสามคนตื่นมาอีกที ประมาณ ตี 4 – 5   ตำรวจมาปลุกเพื่อให้เขาทั้งสามลงชื่อในเอกสาร ทั้งสามคนก็ตื่นมางังเงียและลงชื่อในเอกสารโดยที่ไม่ได้อ่านอีกเช่นกัน เนื่องจากเขาคิดว่าอ่านหรือไม่อ่านก็ไม่ต่างจากกันเท่าไหร่หนัก อีกทั้งก็เป็นห่วงทางบ้านว่าจะเดือดร้อนและถูกรังครวญ

                    ในเช้าวันรุ่งขึ้น (17 พ.ค.2553) ตำรวจก็นำตัว  สุรชัย และกฤษณะ มาที่ศาลแขวงปทุมวัน ส่วน เดพ สหรัฐนั้น เนื่องจากยังเป็นเยาวชนอยู่ จึงแยกตัวไปฟ้องที่ศาลเยาวชนฯต่างหาก

                    เมื่อไปอยู่ต่อหน้าศาล ศาลก็อ่านคำฟ้อง ซึ่งเขาทั้งสองเล่าว่าพวกเขาม่มีแรงที่จะคิดหรือว่าจะปรึกษาใคร เนื่องจาก ไม่สามารถติดต่อญาติ และคนที่ไว้ใจได้ ทั้งสองคนก็รับสารภาพ ตามที่ศาลอ่านให้ฟัง กอปรกับด้วยความกลัวที่ถูกทหารข่มขู่ไว้ตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ถูกจับ  เนื่องจากพวกทหารมีชื่อและที่อยู่ของเขาหมด เขากลัวว่าจะเดือดร้อนไปถึงครอบครัวของเขา

ศาลแขวงปทุมวัน ตัดสินในวันที่ 17 พ.ค. 2553 ซึ่งเป็นวันเดียวที่เขาถูกอัยการฟ้อง โดยพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 948/2553 คดีหมายเลขแดงที่ 953/2553 ว่า จำเลยทั้งสอง (กฤษณะ และสุรชัย) มีความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาตรา 9 (2) (4)และมาตรา 18 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 1 ปี พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า ขณะเกิดเหตุประเทศอยู่ในสถานกาณ์ที่มีความรุนแรงเป็นอันตรายต่อชีวิตและ ทรัพย์สินของประชาชน จำเลยทั้งสองมิได้นำพาที่จะระงับยับยั้ง แต่กลับฝ่าฝืนกฎหมายอันเป็นการซ้ำเติมต่อสถานการณ์ให้มีความรุนแรงมากยิ่ง ขึ้น ประกอบกับของกลางที่ยึดได้ซึ่งได้ใช้ และมีสภาพที่อาจก่อให้เกิดความรุนแรงยากที่จะแก้ไขป้องกัน( ของกลางตามคำพิพากษานี้ มี 1.อาวุธมีด จำนวน 3 เล่ม2.หนังสติ๊ก(พร้อมลูกเหล็ก 20 ลูก )จำนวน 1 อัน 3.สบับมือจำนวน 1 อัน 4.สิ่งเทียมอาวุธปืนจำนวน 1 อัน 5.สิ่งเทียมอาวุธปืน จำนวน 1 กระบอก 6.พลุ 1 อัน 7.ไฟแช็ค จำนวน 1 อัน 8.น้ำมันก๊าด จำนวน 1 กระป๋อง9.โทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง 10.กล้องถ่ายรูปจำนวน 3 เครื่อง) กรณีจึงไม่มีเหตุรอการลงโทษ และให้ริบของกลางทั้งหมด




                    กฤษณะและสุรชัย ยืนยันว่า พวกเขาไม่มีอาวุธตามที่ทหาร กับอัยการ และศาลกล่าวหาและลงโทษ

                    ขณะนี้ คดีของทั้งสองอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์  ทั้งสุรชัย และกฤษณะ ขอประกันตัว แต่ศาลแขวงปทุมวันไม่ให้ประกันตัว  พวกเขาให้เหตุผลว่า  กลัวคนทั้งสองจะออกไปก่อคดี และหนีประกัน
                    เขาทั้งสองเล่าว่า เขาอยากออกไปข้างนอก  และยืนยันว่าเขาทั้งสองไม่มีความผิดตามที่รัฐกล่าวหาแม้ว่าเขาจะรับสารภาพ ในชั้นศาลก็ตาม  เพราะว่าเขามีสิทธิประท้วงรัฐบาลได้

                    ขณะนี้เขาทั้งสองคนถูกจองจำที่แดน 8 คลองเปรม พร้อมกับคนเสื้อแดงอีกรวม 9 คนซึ่งพวกเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทั้งหมดโดนข้อหาละเมิดพรก.เหมือนกับเขาทั้งสองคน


                    หลังจากเขาทั้งสองถูกขังที่คลองเปรม ทางเรือนจำให้เยี่ยมได้เฉพาะ ญาติ และคนที่มีนามสกุลเหมือนกับเขา หากไม่มีนามสกุลเหมือนกับเขาทั้งสอง จะต้องมีพ่อและแม่หรือคนในครอบครัวที่นามสกุลเหมือนกันมาลงชื่อรับรองว่า เป็นญาติ และเยี่ยมได้เฉพาะวันอังคารเท่านั้น


                    เขาเล่าว่าเมื่อเขาถูกจำกัดการเยี่ยมจากทางเรือนจำ จึงติดต่อกับเพื่อโดยการเขียนจดหมายหาเพื่อนๆที่เขารู้จักที่อยู่ และหากผู้รักความเป็นธรรมคนใด อยากจะมาเยี่ยมเขาแต่มาไม่ได้ ก็เขียนจดหมายมาหาพวกเขาได้ที่

1.นายกฤษณะ ธัญชยพงศ์ 
2.นายสุระชัย พริ้งพงศ์  
3.นายแสวง จงกัญญา
4.นายวิษณุ กมลแมน
5.นายอภิวัฒน์ เกิดนอก
6.นายอำนวย ชัยแสนสุข
7.นายประยูร สุรพินิต
8.นายสมหมาย อินทนาคา
9.นายเอกสิทธิ์ แม่นงาม
                  
 เรือนจำกลางคลองเปรม  แดน 8
33/2 ถนนงามวงศ์วานแขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900