สุรชัย เพ็ชรพลอย อายุ 29 ปี เขาเป็นชาวกรุงเทพมหานครโดยกำเนิด เป็นชายหนุ่มผิวดำแดง ก่อนถูกทหารจับกุมโดยอาศัยอำนาจตามพรก.ฉุกเฉินฯ เขาพักอาศัยอยู่ที่แถว ซ.วัดอภัยทยาราม (ซ.ราชวิถี 14) มีอาชีพขายผลไม้ เขามีลูก 2 คน อายุ 6 ขวบ และ 3 ขวบ สุรชัย เพ็ชรพลอย เล่าว่า พี่เขยของเขาเป็นผู้สนับสนุนการชุมนุมของ ชาวเสื้อแดงตัวยง พี่เขยไปชุมนุมที่แยกราชประสงค์บ่อยครั้ง เมื่อกลับมาถึงบ้านก็นำเรื่องมาเล่าให้ฟัง
สุรชัย เล่าว่า เขาชอบเสื้อแดงมากที่สุดคือเรื่อง 2 มาตรฐาน เขาไปร่วมชุมนุมบ้างเป็นบางโอกาส แต่ไม่เคยค้างคืนแถวที่ชุมนุมเลย ส่วนวิษณุ กมลแมน อายุ 19 ปี พักอาศัยอยู่กับน้าชายที่ ซ.วัดอภัยทยาราม(ซ.ราชวิถี 14) พ่อกับแม่ เสียชีวิตหมดแล้ว เขาเล่าว่า แม้ว่าเขากับสรุชัย เพ็ชรพลอยจะพักอาศัยอยู่ที่ซอยเดียวกัน แต่เขาไม่รู้จักกันมาก่อน มาเห็นกันก็ต่อเมื่ออยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน และมารู้จักชื่อกันเมื่อถูกจับขึ้นโรงพัก เขาถูกจับกุมตอนบ่าย 4 -5 โมงของวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 ในวันถูกจับ เวลาราวๆก่อนบ่ายโมง เขาได้ยินเสียงปืน และระเบิดดัง ด้วยความที่เขาอยากรู้อยากเห็น เขาเลยเดินทางออกจากแถวบ้าน เพื่อตามหาเสียงปืนและเสียงระเบิด เขาเล่าว่า เขาไม่รู้ว่าเขาเป็นเสื้อแดงหรือไม่ แต่เขาเคยไปร่วมชุมนุม ที่ราชประสงค์ ไปกับคนแถวบ้านซึ่งเป็นเสื้อแดง และเขาไม่ได้สนใจการเมือง แต่อยากไปดูให้เห็นกับตาว่ามันคืออะไรและเป็นยังไง
สุรชัย เพ็ชรพลอย เล่าว่า เขาถูกทหารจับกุมตอนเวลาประมาณบ่าย 4-5 โมงเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 ก่อนถูกจับ เขาพักอยู่ที่บ้าน และได้ยินเสียงทั้งเสียงปืนและเสียงระเบิด เวลาประมาณเที่ยงกว่าๆ เสียงนั้นดังมาก เสียงปืนที่เขาได้ยินคล้ายกับปืนกล เขาจึงเดินทางออกจากบ้านโดยมีเพื่อนไปด้วยอีก 1 คน เพื่อนของเขาเป็นเสื้อแดง มุ่งหน้าไปยังแถวสามเหลี่ยมดินแดง โดยเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ เมื่อไปถึงบริเวณแถวป้อมตำรวจตรงสามเหลี่ยมดินแดง เขาเห็นรถยีเอ็มซี ของทหาร กำลังลุกไหม้ และบริเวณนั้นมีผู้ร่วมชุมนุมอยู่ประมาณ 200-300 คน ไม่มีใครใส่เสื้อสีแดงเลยสักคนเดียว ผู้คนแถวนั้นกำลังพูดคุยกันถึงเรื่อง มีคนถูกทหารยิงบาดเจ็บนอนอยู่กลางถนนราชปรารถ แถวบริเวณ ปากซอยรางน้ำ และพยายามหาทางเข้าไปช่วยเหลือ
เขาเล่าว่าจากจุดที่ผู้ชุมนุมยืนอยู่นั้น เขาไม่สามารถเห็นคนเจ็บและทหารได้เนื่องจากว่ามันไกลกันเกินไปที่จะเห็นคน เจ็บได้ ผู้ชุมนุมที่อยู่แถวป้อมตำรวจ สามเหลี่ยมดินแดงวางแผนกันว่า จะเอายางรถยนต์มาตั้งเป็นบังเกอร์แล้วและช่วยกันเลื่อนบังเกอร์ยางเข้าไป ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ หลังจากตกลงกันได้ พวกผู้ชุมนุมก็เอายางรถยนต์มาตั้งเรียงกันขึ้นสูงประมาณยางรถยนต์ 4 เส้น ยาวขนาด ยางรถยนต์เรียงต่อๆกันไป 5 เส้น เมื่อทำบังเกอร์ยางได้พอตามที่ต้องการแล้ว เขากับ วิษณุ กมลแมนและผู้ชุมนุมคนอื่นๆประมาณ 40-50 คนก็ช่วยกันเลื่อนบังเกอร์ยาง มุ่งหน้าไปยังปากซอยรางน้ำ โดยช่วยกันเข็นไปเรื่อยๆ และมีผู้ร่วมชุมนุมคนอื่น ขับรถน้ำของกทม.คันสีเหลือง วิ่งตามหลังมา ระหว่างเข็นบังเกอร์ยางจากบริเวณป้อมตำรวจสามเหลี่ยมดินแดงมุ่งหน้าไปปากซอย รางน้ำ ทหารไม่ได้ยิงเข้ามาทางผู้ชุมนุมเลย
ผู้ชุมนุมเข็นบังเกอร์ยางมาได้ระยะทางประมาณ 100 เมตร ใช้เวลาประมาณ 15 นาที เมื่อมาถึงแถวบริเวณปั๊มน้ำ มัน เขาจำไม่ได้ว่าเป็นปั๊มน้ำมันยี่ห้อแอสโซ่หรือว่ายี่ห้อเชลล์ ปรากฎว่าทหารที่อยู่บนสะพายลอย ระดมยิงปืนใส่พวกผู้ชุมนุมที่อยู่หลังบังเกอร์ยางและหลังรถน้ำกทม.อย่างหนัก หน่วง เสียงปืนรัวตลอดเวลา สะพานลอยที่ทหารซุ่มอยู่นั้นห่างจากพวกเขาไปประมาณ 100 เมตร ทั้งสุรชัย และวิษณุ ไม่แน่ใจว่าบนสะพานลอยนั้นมีทหารอยู่เท่าไหร่กันแน่ เนื่องจาก บนสะพานลอยนั้นมีตาข่ายสีเขียวและดำคลุมพรางไว้หมด
เมื่อทหารระดมปืนยิงใส่ ผู้ชุมนุมที่ช่วยกันเข็นบังเกอร์ยางก็แตกตื่นและพยายามวิ่งหาที่หลบกระสุน ทั้งคู่เล่าว่าผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธอะไรโต้ตอบเลย นอกจากหาที่หลบอย่างเดียว ส่วนหนึ่งก็วิ่งเข้าไปหลบในปั๊มน้ำมัน อีกส่วนหนึ่งก็วิ่งหลบด้านหลังรถน้ำกทม.ที่จอดขวางเลนส์อยู่ ซึ่งอยู่ห่างจากบังเกอร์ประมาณ 20-30 เมตร
วิษณุ กมลแมน เล่าว่า เมื่อทหารยิงปืนใส่ที่บังเกอร์ยาง เขาไม่รู้ตัวเลยว่า เขาวิ่งเข้าไปหลบอยู่ในปั๊มน้ำมันได้อย่างไร มารู้ตัวอีกที เขาก็อยู่ที่ห้องน้ำหลังปั๊มน้ำมัน เขาหลบอยู่ข้างในห้องน้ำ ตลอดเวลาที่หลบอยู่ในห้องน้ำเขาได้ยินเสียงปืน เสียงระเบิด ดังมาตลอด สุรชัย เล่าว่า เมื่อทหารยิงเข้ามาที่บังเกอร์ยาง เขาก็พยายามหาทางออกจากบังเกอร์ยาง เขาจำได้ว่าหลังบังเกอร์ยางมีนักข่าวต่างประเทสถ่ายรูปอยู่ตลอดเวลาซึ่งนัก ข่าวคนนี้ พูดภาษาไทยได้ชัด
เมื่อเห็นผู้ชุมนุมบางส่วนวิ่งหลบหนีเข้าไปในปั๊มน้ำมัน บางส่วนเขาไปหลบข้างหลังรถน้ำกทม. เขาพยายามหาทางออกจากข้างหลังบังเกอร์ยาง และคอยนับจังหวะที่ตัวเองจะวิ่ง เขาไม่แน่ใจว่าเขาหลบอยู่หลังบังเกอร์บางประมาณกี่นาที รู้แต่ว่ามันช่างเป็นเวลาที่แสนจะยาวนานเขาเห็นนักข่าวต่างประเทศวิ่งเข้าไป หลบในปั๊มน้ำมันได้ เขาจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปหลบในปั๊มน้ำมันโดยเขาหลบไปได้หวุดหวิด
เมื่อเข้ามาในบริเวณปั๊มน้ำมันได้ เขาเข้าไปนั่งหลบอยู่ข้างกำแพง ซึ่งห่างจากบังเกอร์ยางประมาณ 3 เมตร เขาเห็น คนที่ติดอยู่หลังบังเกอร์ยางบางคนหนึ่งพยายามเอายางรถยนต์เส้นสุดท้ายมาตั้ง เรียงให้บังเกอร์ยางสูงขึ้น และเห็นชายที่พยายามตั้งบังเกอร์ยางถูกยิงเข้าที่แขนและที่หน้าท้อง ชายคนนั้นล้มลงทันที หน้าของเขาคว่ำลงกับพื้น และเขาเห็นชายอีกคนหนึ่งถูกยิงที่ขา เขาเล่าว่ากระสุนทั้งหมดนั้นยิงมาจากฝั่งที่ทหารซุ่มอยู่
คนที่หลบอยู่ในปั๊มประมาณ 7-8 คนพยายามตะโกนให้พวกที่อยู่หลังบังเกอร์พยายามวิ่งออกมาให้ได้สุรชัย เล่าว่า เมื่อเขาเห็นคนถูกยิง เขาก็โทรศัพท์ไปหาพี่เขยซึ่งพี่เขยเขาอยู่ที่ป้อมตำรวจแถวสามเหลี่ยมดินแดง เขาบอกพี่เขยว่าที่นี่มีคนถูกยิง 2 คน ให้หาคนมาช่วย และให้เรียกรถพยาบาล พี่เขยเขาบอกว่าไม่มีใครฝ่าเข้ามาได้ ทหารยิงใส่ตลอดเวลา หลังวางโทรศัพท์จากพี่เขยแล้ว เขาก็เห็นชายที่ถูกยิงที่ขาวิ่งออกจากบังเกอร์ยางหลบเข้ามาอยู่ในปั๊มน้ำมัน ได้ เขากับคนอื่นๆก็ช่วยกันหามไปวางไว้ที่หน้าห้องน้ำหลังปั๊มน้ำมัน แต่ชายที่ถูกยิงเข้าหน้าท้อง อาการสาหัสมาก เขาเลยตะโกนถามว่า “ไหวไหม? “ ชายคนนั้นไม่ขยับตัว ได้แต่พูดว่า ไม่ไหวแล้ว
สุรชัย เล่าว่า เขาไม่รู้จะช่วยชายคนนั้นได้อย่างไร จะวิ่งเข้าไปดึงออกมาจากบังเกอร์ ก็กลัวถูกยิงตาย เพราะขณะนั้นทหารก็ระดมยิงเข้าใส่คนที่อยู่หลังบังเกอร์อย่างหนักหลังจาก นั้น มีนักข่าวต่างประเทศวิ่งเข้ามาบอกเขาด้วยภาษาไทยที่ชัดแจ๋ว และตะโกนบอกชายคนที่มีอาการบาดเจ็บว่า ไม่ต้องกลัว เขาได้โทรศัพท์ไปบอกทหารแล้วว่า พวกเราไม่มีอาวุธ ให้หยุดยิง สักพักทหารคงหยุดยิง สุรชัยเล่าว่าเขาก็พูดกับนักข่างต่างประเทศคนนั้นว่า ลองยิงกันแบบนี้พวกทหารไม่หยุดแน่ กะจะฆ่าพวกเราให้ตายทั้งหมด
เขาเล่าต่อไปว่าในขณะเขาหลบอยู่ในปั๊มน้ำมันเขาเห็น ผู้ชุมนุมที่อยู่หลังรถน้ำกทม.พยายามจะมาช่วยคนเจ็บ แต่ทหารที่อยู่บนสะพานลอยก็ยิงใส่คนที่อยู่แถวรถน้ำกทม.อย่างหนัก เขาเข้าใจว่าปืนที่ทหารยิงนั้นน่าจะเป็นปืนติดลำกล้อง ยิงไปหลายนัดจนทำให้ผู้ชุมนุมไม่สามารถเข้าไปช่วยคนเจ็บได้
นานต่อมา เขาเห็นชายคนที่ถูกยิงที่หน้าท้อง ออกมาจากหลังบังเกอร์ยาง โดยชายคนนั้นนอนกลิ้งออกมาจากบังเกอร์ยางได้ เมื่อชายคนบาดเจ็บเข้ามาอยู่ในปั๊มแล้ว เขาและเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรมคนอื่นๆในปั๊มซึ่งเหลือประมาณ 5 คนก็ช่วยกันหามชายคนนี้ไปวางไว้ที่หน้าห้องน้ำหลังปั๊มเขาเล่าว่าห้องน้ำ หลังปั๊มน้ำมัน มีกำแพงสูงประมาณ 1เมตรกว่าๆ เขาได้โทรศัพท์ไปบอกพี่เขยอีกครั้งว่ามีคนจะเข้ามาช่วยคนบาดเจ็บได้ไหม? พี่เขยบอกว่าไม่มีใครเข้าไปบริเวณนั้นได้เพราะพวกทหารยิงปืนใส่หมดเลย เขาก็เลยบอกกับพี่เขยว่า จะลองหาทางอื่นดู
หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้ว เขาเห็นเลือดของคนเจ็บไหลออกจากแขนมากและไม่หยุดเลย เขาจึงฉีกเสื้อชายคนนั้นมาพันที่แขนเพื่อห้ามเลือด ตอนนั้นเขาจึงรู้ว่าคนที่ถูกยิงที่ขาข้ามกำแพงไปแล้ว ส่วนนักข่าวต่างประเทศก็ไม่อยู่แถวปั๊มแล้วเขาเล่าว่าถึงตอนนี้เวลาน่าจะ ประมาณบ่าย 3หรือบ่าย 4 เขาก็จำไม่ได้ รู้แต่ว่าตอนนั้นมีคนอยู่ในปั๊มประมาณ4-5 คน รวมวิษณุ กมลแมนด้วย แต่ไม่รวมคนเจ็บ
พวกเขาตกลงกันว่าจะช่วยคนเจ็บออกไปจากปั๊มน้ำมันโดยจะช่วยกันหามคนเจ็บ ข้ามกำแพงปั๊มน้ำมัน โดยให้คนที่ข้ามกำแพงไปก่อนนั้น ไปรอรับคนเจ็บ เมื่อตกลงกันได้อย่างนี้แล้วก็มีคนข้ามกำแพงไปเพื่อรอรับสุรชัย เพ็ชรพลอยเล่าว่า เขาอาสาสมัครเป็นคนที่จะยกคนเจ็บข้ามกำแพง แต่ว่าเขาไม่สามารถยกคนเจ็บด้วยตัวคนเดียวได้ เขามองเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเขาทราบชื่อต่อมาภายหลังว่าชื่อวิษณุ กมลแมน กำลังยืนเหยียบอยู่บนกำแพงเพื่อที่จะข้ามกำแพงแล้ว เขาจึงเรียกวิษณุ กลับมาให้ช่วยยกคนเจ็บกันก่อน วิษณุ ก็ลงมาจากกำแพง เขาทั้ง 2 คน ช่วยกันหามชายคนเจ็บข้ามกำแพงไปได้และคนที่อยู่ทางฝั่งโน้นก็รอรับ
สุรชัย เล่าว่า เหตุที่เขาตัดสินใจช่วยยกคนเจ็บในขณะที่คนส่วนอื่นข้ามกำแพงพ้นไปแล้ว เขาไม่คิดว่าทหารจะเข้ามาในปั๊ม ส่วนวิษณุ กมลแมน เล่าว่า เขาไม่คิดอะไรนอกจากจะช่วยหามคนเจ็บ และคิดว่าทหารคงไม่เข้ามาในปั๊มหลังจากหามคนเจ็บข้ามกำแพงไปได้ สุรชัยและวิษณุ เล่าว่า เขาทั้งคู่ก็เตรียมปีนข้ามกำแพง พวกเขายืนเหยีบยอยู่บนถังขยะที่คว่ำก้นไว้และ มือทั้งสองข้างของพวกเขากำลังเกาะขอบกำแพงกำลังจะปีนข้ามกำแพง ทันใดนั้น เขาได้ยินเสียงคนตะโกนขึ้นมาว่า “เฮ้ย ! หยุด “เขาทั้งคู่ก็หยุดทันที และชูมือขึ้นเหนือศรีษะแล้วค่อยๆลงมาจากถังขยะ พอลงมาจากถังขยะ แล้วหันหน้ามาตามเสียงที่เรียก เขาทั้งสอง เห็นทหารประมาณ 5- 6 นาย ทุกคนเล็งปืนยาวมาที่ตัวเขาทั้งสองคน เมื่อทหารวิ่งเข้ามาประชิดตัวเขาทั้งสอง ทหารทุกคนเอาปืนรุมจี้หัวเขาทั้งคู่ ในใจของทั้งคู่คิดว่าไม่รอดแน่ เขาเห็นนายทหาร 2 นาย เดินไปตรวจที่ห้องน้ำ ทหารสั่งให้เขาทั้งคู่นั่งคุกเข่า เมื่อเขาคุกเข่าแล้วก็สั่งให้เขาทั้งสองคนเอามือไขว่หลังและเอาสายรัดข้อมือ พลาสติกมารัดข้อมือเขาทั้งสอง
หลังจากนั้นทหาร กระทืบเขาทั้งคู่ และรุมเต๊ะ เขาทั้งคู่จำไม่ได้ว่าโดนกระทืบอยู่นานเท่าไหร่ สุรชัย เล่าว่าเขาถูกทหารเต๊ะเข้าที่ท้องและซี่โครงและเต๊ะเข้าที่ใบหน้า จนเขาต้องคู้ตัวลงแนบกับพื้นแต่ทหารก็ยังเต๊ะตลอดเวลา มีช่วงหนึ่งเมื่อคู้ตัวลงกับพื้น เขาเหลือบมองไปที่วิษณุ เขาเห็นวิษณุเงยหน้าขึ้นมองหน้าทหารและทหารก็เอาเท้าเต๊ะไปที่ใบหน้าของ วิษณุเขาทั้งคู่จำไม่ได้ว่าถูกทหารซ้อมนานเท่าไหร่ รู้แต่ว่าถูกกระหน่ำด้วยเท้าตลอด และเริ่มคิดว่า ตัวเองคงไม่รอดแน่
เมื่อทหารเต๊ะพวกเขาได้สักพักใหญ่ ทหารก็หิ้วคอเสื้อและลากเขาทั้งคู่ออกมาจากจากบริเวณแถวห้องน้ำมาอยู่ในลาน ปั๊มน้ำมัน ตรงที่เติมลมยางรถ หลังจากลากมา พวกทหารก็รุมกระทืบพวกเขาต่อ เขาทั้งคู่เล่าว่าเขาจำไม่ได้ว่าทหารที่ซ้อมเขานั้นหน้าตาเป็นอย่างไร นายทหารทั้งหมดไม่มีป้ายชื่อติดหน้าอก ทหารทั้งเต๊ะ ทั้งกระทืบ มีนายทหารบางคนพูดว่า พวกมึงทำให้เพื่อนกูตายหลายคน
สุรชัยเล่าว่า หลังจากทหารซ้อมพวกเขาทั้งคู่แล้ว ทหารก็สั่งให้เขาลุกขึ้นมีทหารคนหนึ่งกระชายสร้อยซึ่งเป็นสีทองที่ใส่ตะกรุด ออกจากคอเขาทางด้านหลัง เขาคิดว่าทหารคงเข้าใจว่าเป็นสร้อยทองจึงกระชากออกไป และทหารเริ่มค้นตัวเขา และค้นตัววิษณุวิษณุเล่าว่า เมื่อทหารค้นตัวเขา พบโทรศัพท์มือถือแบล๊คเบอร์ลี่ทหารก็เอาไป เขาเล่าว่า เขาเพิ่งซื้อโทรศัพท์ยี่ห้อนี้มาประมาณ 3 อาทิตย์ ราคา 12,050 บาท เมื่อทหารค้นตัวเสร็จ ทหารก็เอาปืนมาจ่อหัวเขาทั้งคู่และสั่งให้วิ่ง ตอนที่ทหารสั่งให้วิ่ง สุรชัย เพ็ชรพลอยบอกว่า มือของพวกเขาทั้งสองยังถูกมัดไขว่หลังอยู่ และเขาก็เอาลิ้นดุนในปาก เพื่อที่จะบ้วนเลือดเนื่องจากเลือดออกจากปากเยอะมาก ถึงตอนนี้เองที่เขารู้ตัวว่าฟันของเขาซี่บนด้านขวานั้นหักไป 1 ซี่
เขาและวิษณุ ไม่วิ่งหนีตามที่ทหารบอก ทหารก็เงื้อเท้าจะเต๊ะเขาอีก ก็มีนายทหารขึ้นหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พอแล้ว ทั้งคู่เล่าว่า ที่เขาตัดสินใจไม่วิ่งหนี เพราะว่าเขากลัวถูกทหารยิงทิ้ง หลังจากนั้นทหารก็พาเขาเดินออกจากปั๊มน้ำมัน พาข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง และนำตัวเขาทั้งสองคนขึ้นไปในรถบรรทุกของทหารขนาด 6 ล้อ โดยขับรถพาเขาทั้งสองคนไปที่สน.พญาไท เมื่อไปถึงที่สถานีตำรวจ ทหารก็ให้เขาทั้งคู่นั่งรอ ระหว่างรอมีตำรวจเอาน้ำมาให้ทั้งคู่กิน เขาจึงใช้น้ำล้างหน้า ถึงตอนนี้เองทั้งสองคนต่างเห็นว่าเสื้อแต่ละคนนั้นเลอะไปด้วยเลือดและหน้าตา ต่างฟกซ้ำและใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด
หลังจากนั้น ตำรวจก็นำเขาทั้งสองขึ้นไปที่ชั้น 4 เข้าไปในห้องเพื่อสอบสวนเขา ระหว่างรอในห้องสอบสวน ทหารก็อยู่ในห้องด้วย 2 คนและถืออาวุธปืนยาวติดลำกล้องติดตัวตลอด วิษณุ เล่าว่า มีผู้ชายสองคนสะพายกล้องถ่ายรูป และถ่ายรูปเขาทั้งสองคน ตำรวจถามเขาว่าเข้าไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไรและบอกว่า ขนาดตำรวจยังเข้าไปไม่ได้เลย เ ขาก็ตอบไปว่าไม่ทราบ เมื่อนักข่าวถามว่า แล้วเข้าไปอยู่ตรงนั้นเข้าไปทำอะไร เขาตอบว่าไปช่วยคนเจ็บ ทั้งสองคนเล่าว่าตอนที่เขาทั้งคู่มาเข้ามาอยู่ที่ห้องสอบสวนสืบสวน ทั้งคู่เห็น ระเบิดขวดทำมือ หนังสติ๊ก ลูกแก้ว ประทัด วางอยู่บนโต๊ะ เมื่อพวกเขาเข้าไปถึงตำรวจก็ให้พวกเขานั่งอยู่เก้าอี้ด้านหลังโต๊ะที่วางของ เหล่านี้ และมีนักข่าวถ่ายรูป
สักพักหนึ่ง หลังจากนั้นตำรวจก็ให้พวกเขาทั้งสองคนลงชื่อในเอกสาร ตำรวจอธิบายให้เขาฟังว่า เป็นความอาญา และบอกว่าคดีที่ทั้งคู่โดนคือคดีตามเอกสาร ทั้งคู่เล่าว่า พวกเขาไม่ได้อ่านเอกสารเพราะเมื่อลงชื่อเสร็จตำรวจก็ดึงเอกสารไปเลย และเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเอกสารเกี่ยวกับอะไร หลังจากนั้นตำรวจก็ถ่ายรูปและทำประวัติเขาทั้งสองคน เมื่อถ่ายรูปและทำประวัติแล้ว ตำรวจก็พาเขาลงมาที่ชั้นล่างและเอาตัวเขาทั้งสองไปขังไว้ในห้องขังเขา
เขาทั้งสองคนเล่าว่าตอนกลางคืนของวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 นั้น มีเสื้อแดงถูกจับและส่งมาที่ในสน.พญาไท 4 คน ชาย 2 หญิง 2 เป็นสามีภริยากัน เขาทั้งสี่คนบอกว่า พยายามจะเอาข้าวกล่องประมาณ 600 กล่องไปส่งที่ราชประสงค์ เขาทั้งสองคนไม่รู้ว่าคนทั้งสี่นี้ชื่อว่าอะไร รู้แต่ว่าถูกส่งขึ้นศาลพร้อมๆกัน และศาลตัดสินจำคุก 6 เดือน
รุ่งเช้าวันที่ 16 พฤษภาคม ก็มีคนเสื้อแดงเข้ามาอยู่ในคุกเพิ่ม อีกประมาณ 2 คน และแม่ของสุรชัย มาเยี่ยมที่ห้องขังพร้อมกับถือหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่งติดมือมาด้วย เขาจำได้ว่าเป็นหนังสือพิมพ์ข่าวสดลงวันที่16 พฤษภาคม 2553 มีรูปเขาและวิษณุ ลงเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์หน้ากลาง เขาจำได้ว่ามีคำบรรยายใต้ภาพว่าทั้งสองคนพูดจาสื่อสารกันเป็นภาษเขมรเขาทั้ง สองถูกนำตัวขึ้นศาลตอนเช้าของวันที่ 17 พฤษภาคม 2553 เขาทั้งสองจำได้ว่าในวันดังกล่าวนี้ มีคนเสื้อแดงรวมทั้งเขาทั้งสองคนไปขึ้นศาลด้วยกันประมาณ 8 คน เมื่อไปถึงศาล และนั่งรออยู่ในห้อง หลังจากนั้น มีผู้พิพากษาคนหนึ่งซึ่งเป็นคนหนุ่ม ผิวขาว หน้าตาตี๋ๆ เข้ามาในห้อง ผู้พิพากษาเรียกชื่อเขาทั้งสอง และอ่านคำฟ้องให้ฟัง และถามพวกเขาว่าจะรับสารภาพ หรือไม่ พวกเขาตอบว่ารับสารภาพ
สุรชัย เล่าว่าสาเหตุที่เขาตัดสินใจรับสารภาพ เพราะว่าในระหว่างที่เขารอผู้พิพากษา เขาได้ถามตำรวจว่าคดีคนเสื้อแดงถ้ารับสารภาพเขาตัดสินกันอย่างไร ตำรวจก็บอกว่าถ้าไม่มีอาวุธ ก็6 เดือนบ้าง 2 เดือนบ้าง และถ้าไม่รับสารภาพ ก็จะส่งไปที่ค่ายทหาร และต้องอยู่ที่ค่ายทหารประมาณ 30 วัน เขาไม่อยากไปอยู่ค่ายทหารจึงรับสารภาพ
หลังจากที่ศาลตัดสินให้เขาทั้งสองต้องโทษจำคุก สุรชัย ก็ขอประกันตัว แต่ปรากฎว่าศาลไม่ให้ประกันตัว ส่วนวิษณุบอกว่าไม่ได้ขอประกันตัว เพราะว่าเขาไม่มีเงิน สุรชัย เล่าว่า ตอนที่ผู้พิพากษาไม่ให้เขาประกันตัวเขาเข้าใจอย่างลึกซึ่งแล้วว่าความรู้สึก ของ 2 มาตรฐานมันเป็นอย่างไร และยังคิดว่า ขนาดคดีฆ่าคนตาย ยังได้ประกันตัวเลยหลังจากที่ศาลตัดสินให้เขาทั้งสองต้องโทษจำคุก สุรชัย ก็ขอประกันตัว แต่ปรากฎว่าศาลไม่ให้ประกันตัว ส่วนวิษณุบอกว่าไม่ได้ขอประกันตัว เพราะว่าเขาไม่มีเงิน สุรชัย เล่าว่า ตอนที่ผู้พิพากษาไม่ให้เขาประกันตัวเขาเข้าใจอย่างลึกซึ่งแล้วว่าความรู้สึก ของ 2 มาตรฐานมันเป็นอย่างไร และยังคิดว่า ขนาดคดีฆ่าคนตาย ยังได้ประกันตัวเลยสุรชัย เพ็ชรพลอย ถูกกล่าวหาจากพนักงานอัยการว่า เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 เขาได้บังอาจจะเข้าไปร่วมชุมนุมที่แยกราชประสงค์ ขณะที่เขาได้เดินทางมาถึงแยกปั๊มน้ำมันแอสโซ่ ปากซอยรางน้ำ ถนนราชปรารภ ถูกตำรวจและทหาร ซึ่งตั้งด่านตรวจอยู่ที่ใต้สะพานแยกราชปรารภ ได้ตรวจพบเขาที่ปั๊มน้ำมันแอสโซ่ ปากซอยรางน้ำ พร้อมกับอุปกรณ์ที่จะนำไปใช้ในการร่วมชุมนุม ซึ่งได้แก่1.หนังสติกด้ามไม้ 1 อัน 2.ประทัดลักษณะ 3 เหลี่ยม 2 อัน 3.ลูกแก้ว 8 ลูก4.หน้ากากกันแก๊ส1 อัน 5.โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง 6.กระเป๋าสะพาย 1 ใบ 7.หมวกแก็ปสีดำ 1 ใบ จึงขอให้ลงโทษตามพรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548
สุรชัย เพ็ชรพลอย ถูกผู้พิพากษาประจำศาลแขวงดุสิตพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามที่พนักงานอัยการฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง และเนื่องจากขณะนี้บริเวณที่เกิดเหตุในคดีนี้เกิดการจลาจลขึ้น มีความวุ่นวายและมีเหตุไม่สงบสุขการกระทำความผิดของจำเลยเป็นการกระทำที่ไม่ ยำเกรงกฎหมายบ้านเมืองจึงเห็นควรลงโทษสถานหนักเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ ไม่ดีต่อประชาชนโดยทั่วไป จำคุก 1 ปี
ส่วนวิษณุ กมลแมนนั้น ศาลถูกตัดสินจำคุก 6 เดือน
ทั้งคู่ยืนยันว่าแม้ศาลจะตัดสินว่าเขามีความผิด แต่เขาไม่ได้กระทำผิดใดๆทั้งสิ้น พวกเขาไปอยู่แถวนั้นเพราะต้องการช่วยคนเจ็บเท่านั้นเองทั้งสองคนไม่ได้ อุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดแล้ว วิษณุ กมลแมน จะออกจากเรือนจำคลองเปรมในวันที่ 16 พฤษภาคม 2553 ส่วนสุรชัย เพ็ชรพลอย นั้น เขาบอกว่าหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาจะออกจากเรือนจำคลองเปรม ในวันที่16 พฤษภาคม 2554 ซึ่งเป็นวันใกล้ๆครบรอบ 1 ปี ในการลอบฆ่าประชาชน ขณะนี้เขาเริ่มปรับตัวกับสภาพที่เขาอยู่ในคุกได้แล้ว และเขาได้ทราบข่าวจากเพื่อนๆที่อยู่ในคุกด้วยกันว่า ข้างนอกนั้นมีการชักชวนเขียนจดหมายถึงนักโทษการเมือง หากคนใดที่สนับสนุนการต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ก็เขียนจดหมายมาถึงเขาได้
Tuesday, 16 November 2010
An account of Thai army brutality.
Before being arrested by the Thai Army for violating Thailand’s draconian State of Emergency (SOE) Surachai Petploy (29), a father of two small children (6 and 3 yrs old) was a resident of Bangkok’s Soi Wataphaitayaran (Soi Rajvithi 14) and worked as fruit seller.
Surachai stated that his brother-in-law was a hardcore Red Shirts supporter who often went to demonstrate at Ratchaprasong area and always came back with stories of what was happening there. Surachai also stated he occasional joined the demonstration but never stayed overnight. He completely agreed with the issue of “double-standards” vis-a-vis the treatment of people from different political backgrounds an issue which was being raised by the Red Shirts.
Witsanu Kamonman (19), whose parents both passed away when he was young, lives with his uncle also in Soi Wataphaitayaran (Soi Rajvithi 14). Wisanu stated that even though they lived on the same street Surachai and he didn't know each other until they were arrested.
Witsanu was arrested around 4-5pm on May 15th 2010. On the day he was arrested, he heard shots and the sound of bombs exploding sometime before 1pm. As he was curious he left his house to find out the cause of the noise. Witsanu stated he wasn't sure if he can say that he is a Red Shirt or not because he went to join the Red Shirts demonstration with his neighbours more out of curiosity than political interest.
Surachai stated he was arrested by the army around 4-5pm May 15th 2010. Before he was arrested, at about noon, he heard loud shots and bomb explosions from his house and so went with his other Red Shirt friend to the Din Deang triangle. He saw an army truck on fire and there were 200-300 protesters around that area; none of them wore red shirts. They were discussing and finding a way to rescue the wounded soldiers who were lying down on Ratchapralop Rd. near Soi Rangnum.
Surachai states from where he stood, he didn't see any injured people or soldiers as it was too far away.
A group of protesters who were gathering near the Police Box at Din Deang triangle area then used tyres to form a barricade to shield them from the army bullets. Then they moved forward in an attempt to get the injuired out. Surachai, Witsanu and 40-50 protesters began moving the barricade towards the direction of Soi Rangnum - a kind of moving shield. Other protesters were also driving a yellow-coloured BMA truck. Surachai states the army didn't shoot at the protesters at all at that time.
It took them about 15 minutes to move the barricade about 100m forward. But when they arrived level with a petrol station, the solders who were positioned at bridge suddenly started shooting at them. Surachai stated he can’t remember exactly which petrol station it was - probably ESSO or Shell. The bridge where the soldiers were positioned was 100m away from them and Surachai couldn't see how many soldiers were there since the bridge was covered with green and black coloured nets.
When the soldiers began shooting the protesters scattered and looked for safe places to hide. Surachai and Witsanu stated that the protesters were unarmed and only looking for safe places to hide. Some of them were hiding in gas station and some were hiding behind the BMA truck which was parked in the middle of the road.
Witsanu stated the soldiers were shooting at the barricade. He can’t remember exactly how he ran into the petrol station but he soon found himself hiding in petrol station's toilets; while he was hiding he heard continual shooting and explosions.
Surachai stated he was attempting to get out of the barricade while the soldiers were shooting and he also remembered there was one Thai-speaking foreigner taking a lot of photographs.
Surachai couldn’t remember how long he was hiding behind the barricade, all he knows was it seemed like forever. Surachai waited until he could find a way to run and hide in the petrol station or behind the yellow BMA truck.
He then saw the foreign journalist ran into petrol station and Surachai decided to follow him.
Surachai was hiding behind the wall when he reached the petrol station which was 3m away from the barricade. He witnessed two men who had been shot, one of whom was a man who had tried to stack up the tyres on the barricade who fell on the ground after he was shot into his arm and stomach. The other man was shot in his legs - all the bullets came from the army's position.
Roughly 7-8 people were hiding in the petrol station and they were shouting to those who were hiding behind the barricade to join them.
Surachai stated after witnessing people being shot, he called and asked his brother-in-law who was at Din Deang triangle to send someone/ambulance to help the injured people. His brother-in-law told him no one could get in there because the army were continuously shooting at anything that moved.
After he finished talking with his brother-in-law, Surachai saw the man who was shot in his leg staggering into petrol station. Surachai and some others took the shot-man to hide in the toilet.
Surachai then left the toilet and shouted to the man who had been shot in the stomach and who was stuck behind the barricade "how he was". This man wasn't able to move but he kept saying that he couldn't bear the pain anymore.
Surachai didn’t have any idea how to save this man’s life because he feared for his own life because the soldiers were pouring continual heavy fire in the barricade and nobody could move very far.
The foreign journalist told him and the injured man not to worry because he had phoned and asked the army to stop shooting at the unarmed protesters and he was convinced that the shooting would soon stop. Surachai turned around and told the foreign journalist that they wouldn't stop because they wanted to kill everyone.
Surachai stated while he was hiding in the petrol station that he saw the protester who hid behind the BMA truck trying to help the injured people but that the soldiers on the bridge were shooting heavily at them in order to prevent them from helping the injured people.
A while after that he saw the man who was stuck behind the barricade who had been shot in stomach rolling his body along the street and into the petrol station. Surachai and the other people then carried the wounded man to the petrol station toilet.
Surachai stated there was a 1m high wall behind the petrol station. He once again telephoned his brother-in-law to ask if there was any help coming but his brother-in-law stated no one could reach that area since the soldiers were shooting at anyone who tried to get in there. After Surachai hang up the phone, he began figuring out ways to evacuate the injured.
Surachai saw one injured man losing a lot of blood so he tore his shirt and tied it around theinjured man's arm in order to stop the bleeding. Surachai noticed that one of the other injured men and the foreign journalist were not there anymore.
By about 3-4pm, Surachai believed that besides the injured people, there were about 4-5people, including Witsanu, in the petrol station.
They made a plan to move the injured people out of the petrol station by carrying them over the 1m high wall at the back of the petrol station. Some people jumped over the wall while the rest of the people passed over the injured.
Surachai volunteered to pass over the injured but since he couldn't do it by himself he asked Witsanu to stay and help him.
Surachai stated he didn't expect the army would be coming into the petrol station and he only thought about helping the injured people first. That was why he stayed in the petrol station - in order to help carry the injured over the wall.
After finishing this task, Surachai and Witsanu were just about to jump over the wall when suddenly someone shouted for them to stop. They both stopped, put their hands on their heads and then turned around. They then saw 5-6 soldiers pointing guns at them. As the soldiers moved closer they pointed the guns directly at their heads. At this point Surchai and Witsanu thought they would definitely be killed. Two soldiers went into petrol station's toilet and the remaining soldiers ordered them to kneel down and put their arms behind their backs. Shortly after that their arms were tied behind their back.
Without any warning, the soldiers inflicted a brutal beating on both men. Surachai stated he was kicked in his stomach, ribs and face. When he fell over onto the ground the soldiers continued beating him. Surachai adds there was one moment that he saw Witsanu being kicked in his face because he had dared to look at the soldiers. Both of them can't remember how long they were beaten for. What they can remember is the terrible severity of the beating and they thought they would be unlikely to survive.
After that, they were dragged away from the wall and the vicinity of the toilet. The soldiers then started to brutally beat them up again while some shouted at them that "you killed many of my friends". Both Surachai and Witsanu said they would find it difficult to recognise the soldiers again or know who they were since there was no name tag on the soldiers uniforms.
Surachai stated one soldier pulled a golden-coloured necklace from his neck because they thought it was real gold. After that, soldiers started to body search both him and Witsanu.
During the search, Witsanu stated that his new 12,050THB (£245) Blackberry phone, which he’d bought 3weeks previously, was taken by the soldiers. After finishing the search, the soldiers began pointing their guns to Surachai’s and Witsanu’s heads and ordered them to run even though their hands were still tied behind their backs. Both Surachai and Witsanu decided not to run because they were afraid that they would be killed for trying to escape. After they refused to run one solider was going to beat them again but he was stopped by other soldiers. Surachai then spat a lot of blood out from his mouth and at that moment he realized that one of his teeth had been knocked out.
At this point they were both put into an army truck and taken to Payathai police station.
When they arrived, the soldiers told them to sit and wait. They were both offered cups of water to drink by the police but instead they used it to wash their faces. They then noticed that their shirts were covered with blood and they had bruises all over their faces.
They both were brought to 4th floor for questioning. In the office, there were two soldiers armed with guns and another two men with cameras who took pictures of them. The police asked how they got into that area because even the police wouldn't be allowed there. They both said they had no idea - the journalists also asked what they were doing there - they replied that they were there to help the injured.
When Surachai and Witsanu arrived at the police station they noticed a table filled with weapons including fireworks, Molotov cocktails and catapults. The journalists who had taken photographs of Surachai and Witsanu also took photographs of the weapons.
Shortly after having their photos taken with the weapons, the police explained to them that they were had been charged with violating the State of Emergency and asked them to sign the document. They both signed the document but neither had the chance to read it as the police quickly took it away. After the police took their picture and recorded their details, they both were placed in police cell.
While in the cells Surachai and Witsanu stated that on the night of May 15th, 2010 4 Red Shirts, who were arrested for trying to deliver food to protesters at Ratchaprasong, arrived at Payathai police station. Surachai and Witsanu didn't find out these persons’ names but all were prosecuted and sentenced to 6months in jail.
The next morning on May 16, two more red Shirts were detained at Payathai police station and Surachai's mother came to visit him. She brought with her the May 16th copy of the Khaosod newspaper. Inside this newspaper was a photograph of Surachai and Witsanu - the text next to this photograph stated that Surachai and Witsanu had spoke in Khmer [Cambodian] to each other.
Surachai and Witsanu were taken to court on May 17th 2010 with 6 other Red Shirts. In court, the young judge read the indictment and asked how they would plead. When they were waiting to go inside the court the police had told both men that if they didn’t plead guilty they could be detained at a military camp. As they were afraid to go to a military camp both decided to plead guilty. The same police also told them if they put in guilty plea they would only receive a prison sentenced of between 2-6months.
After the court sentenced them [for full verdict see below], Surachai asked to be released on bail but his request was turned down. Witsanu didn't make a request for bail because he didn't have any money. Surachai added that when his request was turned down he knew exactly how it felt like to be discriminated against because of his political belief. It is normal in a Thai court for serious criminal like murderers to be allowed bail.
Surachai was found guilty of violating the SOE/participating in a demonstration on May 15th and for possession of weapons (see list below) - he received a one year prison sentence.
1. One catapult
2. Three firecrackers
3. Two sharp materials.
4. 8 glass marbles
5. One gas mask
6. One mobile phone
7. One bag
8. One black cap
Witsanu was sentenced to jail for 6months for violating the SOE/participating in a demonstration on May 15th.
Even though the men both entered a guilty plea they both insist they were there to help injured people.
Both of them didn't appeal therefore the verdict was final. Witsanu will be released on November 16 and Surachai will be released on May 16 2011, on the first anniversary of Bangkok Massacre. Surachai has now adjusted himself to life in prison. He has heard of the campaign called "write to political prisoners" and wants anyone who believes in justice to please write to him at Klong Prem (Section 8) 33/2 Ngamwongwan Rd. Ladyao, Chatuchak district, Bangkok 10900.
Surachai stated that his brother-in-law was a hardcore Red Shirts supporter who often went to demonstrate at Ratchaprasong area and always came back with stories of what was happening there. Surachai also stated he occasional joined the demonstration but never stayed overnight. He completely agreed with the issue of “double-standards” vis-a-vis the treatment of people from different political backgrounds an issue which was being raised by the Red Shirts.
Witsanu Kamonman (19), whose parents both passed away when he was young, lives with his uncle also in Soi Wataphaitayaran (Soi Rajvithi 14). Wisanu stated that even though they lived on the same street Surachai and he didn't know each other until they were arrested.
Witsanu was arrested around 4-5pm on May 15th 2010. On the day he was arrested, he heard shots and the sound of bombs exploding sometime before 1pm. As he was curious he left his house to find out the cause of the noise. Witsanu stated he wasn't sure if he can say that he is a Red Shirt or not because he went to join the Red Shirts demonstration with his neighbours more out of curiosity than political interest.
Surachai stated he was arrested by the army around 4-5pm May 15th 2010. Before he was arrested, at about noon, he heard loud shots and bomb explosions from his house and so went with his other Red Shirt friend to the Din Deang triangle. He saw an army truck on fire and there were 200-300 protesters around that area; none of them wore red shirts. They were discussing and finding a way to rescue the wounded soldiers who were lying down on Ratchapralop Rd. near Soi Rangnum.
Surachai states from where he stood, he didn't see any injured people or soldiers as it was too far away.
A group of protesters who were gathering near the Police Box at Din Deang triangle area then used tyres to form a barricade to shield them from the army bullets. Then they moved forward in an attempt to get the injuired out. Surachai, Witsanu and 40-50 protesters began moving the barricade towards the direction of Soi Rangnum - a kind of moving shield. Other protesters were also driving a yellow-coloured BMA truck. Surachai states the army didn't shoot at the protesters at all at that time.
It took them about 15 minutes to move the barricade about 100m forward. But when they arrived level with a petrol station, the solders who were positioned at bridge suddenly started shooting at them. Surachai stated he can’t remember exactly which petrol station it was - probably ESSO or Shell. The bridge where the soldiers were positioned was 100m away from them and Surachai couldn't see how many soldiers were there since the bridge was covered with green and black coloured nets.
When the soldiers began shooting the protesters scattered and looked for safe places to hide. Surachai and Witsanu stated that the protesters were unarmed and only looking for safe places to hide. Some of them were hiding in gas station and some were hiding behind the BMA truck which was parked in the middle of the road.
Witsanu stated the soldiers were shooting at the barricade. He can’t remember exactly how he ran into the petrol station but he soon found himself hiding in petrol station's toilets; while he was hiding he heard continual shooting and explosions.
Surachai stated he was attempting to get out of the barricade while the soldiers were shooting and he also remembered there was one Thai-speaking foreigner taking a lot of photographs.
Surachai couldn’t remember how long he was hiding behind the barricade, all he knows was it seemed like forever. Surachai waited until he could find a way to run and hide in the petrol station or behind the yellow BMA truck.
He then saw the foreign journalist ran into petrol station and Surachai decided to follow him.
Surachai was hiding behind the wall when he reached the petrol station which was 3m away from the barricade. He witnessed two men who had been shot, one of whom was a man who had tried to stack up the tyres on the barricade who fell on the ground after he was shot into his arm and stomach. The other man was shot in his legs - all the bullets came from the army's position.
Roughly 7-8 people were hiding in the petrol station and they were shouting to those who were hiding behind the barricade to join them.
Surachai stated after witnessing people being shot, he called and asked his brother-in-law who was at Din Deang triangle to send someone/ambulance to help the injured people. His brother-in-law told him no one could get in there because the army were continuously shooting at anything that moved.
After he finished talking with his brother-in-law, Surachai saw the man who was shot in his leg staggering into petrol station. Surachai and some others took the shot-man to hide in the toilet.
Surachai then left the toilet and shouted to the man who had been shot in the stomach and who was stuck behind the barricade "how he was". This man wasn't able to move but he kept saying that he couldn't bear the pain anymore.
Surachai didn’t have any idea how to save this man’s life because he feared for his own life because the soldiers were pouring continual heavy fire in the barricade and nobody could move very far.
The foreign journalist told him and the injured man not to worry because he had phoned and asked the army to stop shooting at the unarmed protesters and he was convinced that the shooting would soon stop. Surachai turned around and told the foreign journalist that they wouldn't stop because they wanted to kill everyone.
Surachai stated while he was hiding in the petrol station that he saw the protester who hid behind the BMA truck trying to help the injured people but that the soldiers on the bridge were shooting heavily at them in order to prevent them from helping the injured people.
A while after that he saw the man who was stuck behind the barricade who had been shot in stomach rolling his body along the street and into the petrol station. Surachai and the other people then carried the wounded man to the petrol station toilet.
Surachai stated there was a 1m high wall behind the petrol station. He once again telephoned his brother-in-law to ask if there was any help coming but his brother-in-law stated no one could reach that area since the soldiers were shooting at anyone who tried to get in there. After Surachai hang up the phone, he began figuring out ways to evacuate the injured.
Surachai saw one injured man losing a lot of blood so he tore his shirt and tied it around theinjured man's arm in order to stop the bleeding. Surachai noticed that one of the other injured men and the foreign journalist were not there anymore.
By about 3-4pm, Surachai believed that besides the injured people, there were about 4-5people, including Witsanu, in the petrol station.
They made a plan to move the injured people out of the petrol station by carrying them over the 1m high wall at the back of the petrol station. Some people jumped over the wall while the rest of the people passed over the injured.
Surachai volunteered to pass over the injured but since he couldn't do it by himself he asked Witsanu to stay and help him.
Surachai stated he didn't expect the army would be coming into the petrol station and he only thought about helping the injured people first. That was why he stayed in the petrol station - in order to help carry the injured over the wall.
After finishing this task, Surachai and Witsanu were just about to jump over the wall when suddenly someone shouted for them to stop. They both stopped, put their hands on their heads and then turned around. They then saw 5-6 soldiers pointing guns at them. As the soldiers moved closer they pointed the guns directly at their heads. At this point Surchai and Witsanu thought they would definitely be killed. Two soldiers went into petrol station's toilet and the remaining soldiers ordered them to kneel down and put their arms behind their backs. Shortly after that their arms were tied behind their back.
Without any warning, the soldiers inflicted a brutal beating on both men. Surachai stated he was kicked in his stomach, ribs and face. When he fell over onto the ground the soldiers continued beating him. Surachai adds there was one moment that he saw Witsanu being kicked in his face because he had dared to look at the soldiers. Both of them can't remember how long they were beaten for. What they can remember is the terrible severity of the beating and they thought they would be unlikely to survive.
After that, they were dragged away from the wall and the vicinity of the toilet. The soldiers then started to brutally beat them up again while some shouted at them that "you killed many of my friends". Both Surachai and Witsanu said they would find it difficult to recognise the soldiers again or know who they were since there was no name tag on the soldiers uniforms.
Surachai stated one soldier pulled a golden-coloured necklace from his neck because they thought it was real gold. After that, soldiers started to body search both him and Witsanu.
During the search, Witsanu stated that his new 12,050THB (£245) Blackberry phone, which he’d bought 3weeks previously, was taken by the soldiers. After finishing the search, the soldiers began pointing their guns to Surachai’s and Witsanu’s heads and ordered them to run even though their hands were still tied behind their backs. Both Surachai and Witsanu decided not to run because they were afraid that they would be killed for trying to escape. After they refused to run one solider was going to beat them again but he was stopped by other soldiers. Surachai then spat a lot of blood out from his mouth and at that moment he realized that one of his teeth had been knocked out.
At this point they were both put into an army truck and taken to Payathai police station.
When they arrived, the soldiers told them to sit and wait. They were both offered cups of water to drink by the police but instead they used it to wash their faces. They then noticed that their shirts were covered with blood and they had bruises all over their faces.
They both were brought to 4th floor for questioning. In the office, there were two soldiers armed with guns and another two men with cameras who took pictures of them. The police asked how they got into that area because even the police wouldn't be allowed there. They both said they had no idea - the journalists also asked what they were doing there - they replied that they were there to help the injured.
When Surachai and Witsanu arrived at the police station they noticed a table filled with weapons including fireworks, Molotov cocktails and catapults. The journalists who had taken photographs of Surachai and Witsanu also took photographs of the weapons.
Shortly after having their photos taken with the weapons, the police explained to them that they were had been charged with violating the State of Emergency and asked them to sign the document. They both signed the document but neither had the chance to read it as the police quickly took it away. After the police took their picture and recorded their details, they both were placed in police cell.
While in the cells Surachai and Witsanu stated that on the night of May 15th, 2010 4 Red Shirts, who were arrested for trying to deliver food to protesters at Ratchaprasong, arrived at Payathai police station. Surachai and Witsanu didn't find out these persons’ names but all were prosecuted and sentenced to 6months in jail.
The next morning on May 16, two more red Shirts were detained at Payathai police station and Surachai's mother came to visit him. She brought with her the May 16th copy of the Khaosod newspaper. Inside this newspaper was a photograph of Surachai and Witsanu - the text next to this photograph stated that Surachai and Witsanu had spoke in Khmer [Cambodian] to each other.
Surachai and Witsanu were taken to court on May 17th 2010 with 6 other Red Shirts. In court, the young judge read the indictment and asked how they would plead. When they were waiting to go inside the court the police had told both men that if they didn’t plead guilty they could be detained at a military camp. As they were afraid to go to a military camp both decided to plead guilty. The same police also told them if they put in guilty plea they would only receive a prison sentenced of between 2-6months.
After the court sentenced them [for full verdict see below], Surachai asked to be released on bail but his request was turned down. Witsanu didn't make a request for bail because he didn't have any money. Surachai added that when his request was turned down he knew exactly how it felt like to be discriminated against because of his political belief. It is normal in a Thai court for serious criminal like murderers to be allowed bail.
Surachai was found guilty of violating the SOE/participating in a demonstration on May 15th and for possession of weapons (see list below) - he received a one year prison sentence.
1. One catapult
2. Three firecrackers
3. Two sharp materials.
4. 8 glass marbles
5. One gas mask
6. One mobile phone
7. One bag
8. One black cap
Witsanu was sentenced to jail for 6months for violating the SOE/participating in a demonstration on May 15th.
Even though the men both entered a guilty plea they both insist they were there to help injured people.
Both of them didn't appeal therefore the verdict was final. Witsanu will be released on November 16 and Surachai will be released on May 16 2011, on the first anniversary of Bangkok Massacre. Surachai has now adjusted himself to life in prison. He has heard of the campaign called "write to political prisoners" and wants anyone who believes in justice to please write to him at Klong Prem (Section 8) 33/2 Ngamwongwan Rd. Ladyao, Chatuchak district, Bangkok 10900.
Tuesday, 26 October 2010
Saturday, 23 October 2010
รัฐบาลอังกฤษยืนยันคนไทยได้รับการรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยในประเทศอังกฤษ
เนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงและปัญหาทางการเมืองในประเทศไทย และการุคุกคามทางการเมืองและการจับกุมคุมขังฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง เมื่อไม่นานมานี้ Asian Correspondent ได้เผยแพร่บทความที่ระบุว่ารัฐบาลอังกฤษได้รองสถานภาพผู้ลี้ภัยในอังกฤษ
“ผมได้รับการยืนยันจากรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษที่รับผิดชอบและมีอำนาจในการตัดสินใจรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยในประเทศอังกฤษว่า มีคนไทยอย่างน้อยหนึ่งคนได้รับการรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยจริงในประเทศอังกฤษเมื่อปีที่แล้ว”
โดยคำยืนยันดังกล่าวมาจาก โฆษกของสำนักงานตรวจสอบคนเข้าเมือง ซึ่งทำงานให้กับรัฐมนตรีที่มีหน้าที่กำกับสำนักงานคนเข้าเมือง
นอกจากจากนี้ ผู้เขียนยังได้ติดต่อสภาผู้ลี้ภัยในประเทศอังกฤษเพื่อยืนยันข้อมูลดังกล่าว
“นอกจากนี้ ผมยังติดต่อสภาผู้ลี้ภัย ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระหน่วยงานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษ ที่ดูแลเรื่องการขอลี้ภัยทางการเมือง เพื่อที่จะสอบถามว่าเอกสารวีซ่าที่สตรีไทยผู้ได้รับการรับรองสถานภาพทางการเมืองแสดงให้ผมดูนั้นเป็นเอกสารจริงหรือไม่ สภาผู้ลี้ภัยกล่าวว่า เอกสารดังกล่าวน่าจะเป็นเอกสารจริง แต่หากจะให้แน่ใจจริงๆ จะต้องส่งเอกสารดังกล่าวไปให้เจ้าหน้าที่ไปให้เจ้าหน้าตรวจสอบคนเข้าเมืองพิจารณา”
และนี้คือหลักฐานภาพถ่ายเอกสารวีซ่าและเรื่องราวของผู้ที่ได้รับการรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัย
Thursday, 14 October 2010
บทสัมภาษณ์คนไทยที่ลี้ภัยในอังกฤษ ภาค 2 (มีหลักฐานประกอบ)
โดยแอนดรูว์ สปูนเนอร์
หลังจาก Asian Correspondent (แปลภาษาไทย) ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์คุณตาล สตรีชาวไทยที่ได้รับการรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยทางการเมืองจากเจ้าหน้าที่รัฐอังกฤษ ก็ได้เกิดคำถามว่าบทสัมภาษณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องจากหรือไม่
ในกรณีดังกล่าว ผมอย่างจะกล่าวว่า
หลังจากได้รับการรับรองสถานภาพ ผู้ลี้ภัยทุกคนจะยังคงถือพาสปอร์ตจากประเทศของตนเองและจะได้รับวีซ่าพำนักอาศัยเป็นเวลา 5ปี สำหรับกระบวนการในการยื่นขอสามารถอ่านได้ที่เวปไซต์ของ UK Border Agency นี่คือตัวอย่างหลักฐาน
นอกจากนี้ ผู้ที่ถือวีซ่าดังกล่าวจะได้รับสิทธิ์ได้รับสวัสดิการสังคม การศึกษา และสิทธิอื่นๆเทียบเท่าพลเมืองอังกฤษ
คู่สมรสชาวไทยที่ติดตามสามีชาวอังกฤษ จะต้องยื่นขอวีซ่าคู่สมรสก่อน โดยวีซ่านั้นมีระยะเวลา 2ปี หลังจากนั้นสามารถยื่นขอวีซ่าพำนักถาวรได้ และผู้ถือวีซ่าคู่สมรสมีสิทธิเข้าถึงสวัสดิการของรัฐอย่างจำกัด
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่า คนไทยคนหนึ่งตกอยู่ในอันตรายและถูกคุกคามจากรัฐไทยและกลุ่มคนที่ได้รับการปกป้องจากรัฐไทย (อย่างกลุ่มพันธมิตร) จนต้องหนีออกนอกประเทศ แต่นี่คือเรื่องจริง
Wednesday, 13 October 2010
บทสัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวไทยในประเทศสหราชอาณาจักร
ช่วงต้นเดือนนี้ ผมมีโอกาสได้พบกับสตรีชาวไทยท่านหนึ่งที่ได้รับอนุญาตให้ตั้งถิ่นฐานในประเทศสหราชอาณาจักรเพราะได้รับการรับรองสถานะผู้ลี้ภัย เธอพำนักอยู่ในบ้านซึ่งตั้งอยู่ในเมืองแบบอังกฤษอันเรียบง่าน “ตาล” (นามสมมุติ เนื่องจากเหตุผลของความปลอดภัย) พยายามอดทนกับคำข่มขู่จากคนที่เธอแน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มหัวรุนแรงฝ่ายขวาอย่างพันธมิตร และทำให้เธอรู้สึกจำเป็นที่จะต้องหลบหนีออกจากประเทศไทยและแสวงหาสถานภาพผู้ลี้ภัยจากประเทศอื่น เจ้าหน้าที่รัฐอังกฤษได้รับรองสถานภาพของเธอ (เจ้าหน้าที่รัฐอังกฤษจะรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยก็ต่อเมื่อมีหลักฐานชัดเจนเท่านั้น) ในปัจจุบันเธอได้รับสิทธิให้อาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษ 5 ปี (หลังจากนั้นสามารถยื่นขอสถานภาพพลเมืองได้)
ผู้อ่านจะต้องไม่ลืมว่า ในขณะที่รัฐบาลไทยพยายามกำจัดคนเสื้อแดงอย่างอำมหิต แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลไทยกลับไม่ลงโทษกลุ่มฝ่ายขวาหัวรุนแรงกลุ่มพันธมิตรและผู้สนับสนุนจากการกระทำของกลุ่มคนเหล่านี้เลย ดูราวกับว่ากลุ่มพันธมิตรและผู้สนับสนุนสามารถก่อความรนแรงหรือขู่กรรโชกผู้คนได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำนั้น ซึ่งทำให้เกิดคำถามตามมาว่า กลุ่มหัวรุนแรงพันธมิตรกระทำการดังกล่าวในนามของกลุ่มผู้นำที่มีอำนาจหรือไม่? หากเป็นเช่นนั้นจริง ประชาชนชาวไทยสามารถคาดหวังความคุ้มครองภายใต้หลักนิติรัฐจากรัฐบาลเมื่อถูกข่มขู่จากกลุ่มพันธมิตรได้หรือไม่? คำตอบเดียวในตอนนี้คือ เจ้าหน้าที่รัฐอังกฤษดูเหมือนจะเห็นด้วยที่ว่ารัฐบาลไทยไม่สามารถทำได้
“ดิฉันเป็นคนไทยและจบปริญญาโทจากมหาลัยธรรมศาสตร์ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ในปี 2549 หลังจากที่จบการศึกษา ดิฉันได้ทำงานในตำแหน่งนักวิจัยให้กับองค์กรระหว่างประเทศเอ็นจีโอ ดิฉันเดินทางออกจากประเทศไทยในต้นปี 2552 เพราะมีคนโทรศัพท์มาขู่ฆ่าดิฉันทางโทรศัพท์มือถือส่วนตัว สามีดิฉันได้รับจดหมายคุกคามที่ถูกส่งไปยังที่ทำงาน และถูกข่มขู่หลายครั้งจากผู้สนับสนุนการทำรัฐประหารในปี 2549 สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยแย่ลงอย่างต่อเนื่อง และมีความกังวลถึงเรื่องสภาวะที่ไร้ความยุติธรรมและระบบนิติรัฐ กลุ่มพันธมิตรกระทำการอันรุนแรงทางการเมืองทุกวัน และกฎหมายที่กดขี่ถูกใช้เป็นเครื่องมือคุกคามผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ดิฉันทิ้งทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมดไว้ที่บ้านพักในกรุงเทพ และเดินทางมาที่พร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบเล็กเพียงหนึ่งใบ ดิฉันต้องลาออกจากงาน ทิ้งเพื่อนและครอบครัวไว้ข้างหลัง และในเวลานั้นดิฉันไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศมาก่อน
ดิฉันยื่นขอสถานภาพลี้ภัยทางการเมืองในประเทศสหราชอาณาจักรด้วยเหตุผลง่ายๆที่ว่า หากดิฉันเดินทางกลับไปยังประเทศไทย ดิฉันอาจจะเสี่ยงต่อการถูกคุกคามจากกลุ่มคนและเจ้าหน้าที่รัฐเพราะกิจกรรมทางการเมืองของดิฉัน และความสัมพันธ์ใกล้ชิดของดิฉันกับสามี ตั้งแต่ปี 2543 เราได้เขียนหนังสือบทความ และดำเนินโครงการเกี่ยวกับสิืทธิมนุษยชนร่วมกันหลายโครงการ เราทั้งสองคนไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำอันรุนแรงใดๆ เราเพียงแค่สนับสนุนประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ต่อต้านการทำรัฐประหารในปี 2549 และการทำลายระบอบประชาธิปไตยในภายหลังเท่านั้น
กลุ่มคนที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐที่ดิฉันกล่าวถึงคือกลุ่มผู้สนับสนุนกลุ่มเผด็จการฟาสซิสต์พันธมิตรที่ยึดและทำลายทำเนียบรัฐบาล ใช้ความรุนแรงและอาวุธนอกรัฐสภา และยังยึดสนามบินนานาชาติถึงสองแห่งในปี 2551 ในฐานะที่ดิฉันเป็นนักกิจกรรมเอ็นจีโอ ดิฉันจึงรู้จักผู้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรเป็นการส่วนตัว และพวกเขารู้จักดิฉันดีพอที่จะข่มขู่เอาชีวิตดิฉันทางโทรศัพท์มือถือ และยังด่าทอดิฉันต่อหน้าในขณะที่ดิฉันทำงาน
เวลาที่คนเหล่านั้นโทรมาข่มขู่ดิฉัน พวกเขาจะพูดว่า “ระวังตัวให้ดี … แกจะถูกอุ้มฆ่า” .. “แกจะถูกยิง” .. “ระวังตัวไว้ให้ดีเวลาไปไหนมาไหน เพราะแกจะถูกอุ้มฆ่า” ในเวลานั้น ดิฉันพยายามไม่ใส่ใจคำข่มขู่เหล่านี้ เพื่อที่จะสามารถดำเนินชีวิตให้เป็นปกติสุขในระดับหนึ่ง
เวปไซต์กลุ่มพันธมิตร อย่างเช่น ASTV ได้เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวและปลุกระดมให้มีการใช้ความรุนแรงกับนักกิจกรรมผู้เรียกร้องประชาธิปไตยคนเสื้อแดง การคุกคามโดยกลุ่มคนและเจ้าหน้าที่รัฐนั้นรวมไปถึงประชาทัณฑ์ ซึ่งนำไปสู่การบาดเจ็บและเสียชีวิต และการลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของฝ่ายตรงข้ามด้วย
ดิฉันต้องแสดงหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่รัฐอังกฤษว่าดิฉันเสี่ยงต่อการถูกคุกคามจากกลุ่มคนและเจ้าหน้าที่รัฐเพราะระบบนิติรัฐถูกทำลายและความรุนแรงทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 ความรุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2549 โดยการกระทำของเจ้าหน้ารัฐไทยและรวมไปถึงกลุ่มผู้สนับสนุนพันธมิตรอีกด้วย ซึ่งการกระทำนั้นรวมถึงการที่ทหารยิงผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ จำนวนนักโทษทางการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดิฉันต้องพิสูจน์ให้เจ้าหน้าที่รัฐอังกฤษเห็นว่าสิทธิมนุษยชนและระบบนิติรัฐในประเทศได้เสื่อมโทรมลงอย่างรุนแรง โดยดิฉันสามารถพิสูจน์ให้เจ้าหน้าที่รัฐที่นี่เห็นว่าคณะรัฐบาลไทยเต็มไปด้วยสมาชิกลุ่มพันธมิตรและมีกองทัพหนุนหลัง นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวกิจกรรมทางสิทธิมนุษยชนผู้มีชื่อเสียงชาวอังกฤษได้เขียนจดหมายรับรองดิฉันในการยื่นขอสถานภาพผู้ลี้ภัย ดิฉันยังได้ยกรายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และบทความในหนังสือพิมพ์ที่น่าเชื่อถือประกอบการยื่นขอนี้ด้วย
ในปัจจุบันดิฉันได้รับการรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยและมีสิทธิพำนักในประเทศสหราชอาณาจักรได้ 5ปี และขณะนี้ดิฉันกำลังศึกษาวิชาภาษาอังกฤษ
ข้อมูลเพิ่มเติม
ติดต่อ อีเมลล์ thailandsolidarity@gmail.com
facebook Thailand Solidarity
ข้อมูลเพิ่มเติม
ติดต่อ อีเมลล์ thailandsolidarity@gmail.com
facebook Thailand Solidarity
Monday, 4 October 2010
The voice of Thailand's political prisoners.
T
**This report has been written by the Social Movement Assembly and sent to me by Mr. Chaiwat Trakanratsanti. Chaiwat told me that Mr. Krissana was questioned by his lawyer during a visit.
Chaiwat told me that only relatives with the same last name are allowed to visit them and only on Monday. Krissana’s good friend once tried to visit him and have Krissana’s parents sign a consent form but still his friend wasn’t allowed to see Krissana.**
Mr. Krissana Tanchayaphong, aged 34, and Mr. Surachai Pringphong, aged 19, were arrested by soldiers around 9 p.m. on May 16, 2010. Both of them and an undisclosed male minor (under 18) left the Red Shirts demonstration at Ratchaprasong at around 8 p.m. and first went to fetch their car which was parked at Pratunwan intersection and then they drove to Soi Chula 12 (Prayathai Road). They were heading to Watchaimongkol, Rama I road where Surachai’s residence is.
Surachai and Krissana stated they were members of the Sereepanyachon (Free Intellectuals] group (เสรีปัญญาชน). Most of its members are university students; the group supported the Red Shirts’ call for Abhisit’s govt to dissolve the parliament. That was the reason why both of them and other friends had joined the Red Shirt demonstration on that day. After members of the group gave speeches on the Ratchaprasong stage, they all dispersed and went home. The unnamed male minor and the two men went home together. When they drove to Soi Chula 12, there was a checkpoint there set up by army. When they first saw the checkpoint, they thought there would be only 4-5 soldiers. Krissana pulled over without any resistance when a soldier asked him to stop.
Krissana stated that when the three of them got out from the car, suddenly they were surrounded by a large group of up to 20 armed soldiers who began searching them. The soldiers seized their cameras and mobile phones as well as tying their arms behind their backs. They were ordered to kneel down and face the wall. While they were kneeling down, they felt that the soldiers were pointing the guns to their heads the entire time but they were too afraid to even turn around and look.
After they had knelt down for a while, one soldier came in and questioned them. The soldier asked “Do you know anything about the Red Shirt demonstration” , “Who is the core Red Shirt guards?”, “Where have the weapons been hidden? ” and he also asked which guards were shooting at soldiers. While they were questioned a group of soldiers were pointing guns to their heads the whole time and were also threatening them that there would be other soldiers coming to question them if they didn’t disclose this information.
Krissana told the soldiers that he didn’t have such information; he was just an ordinary citizen who joined and supported the Red Shirt demonstration.
There was another soldier with a black mask on who came in the room a few second after Krissana said that. The soldier was threatening them by saying if they didn’t tell the truth, he would choke them. But the three of them still insisted they didn’t have such information. Krissana stated that after answering, the soldier with the black mask on started to choke each of them for 30 seconds. Krissana also added that the solider used two fingers to choke him and he had struggled to stay conscious. His two friends were also choked, kicked and their backs were walked on. It was 45 minutes in total that they were questioned and tortured to give out information about the demonstration, and the soldiers also video recorded everything during the interrogation.
Another soldier then appeared whom the other soldiers saluted as he walked in. Mr. Krissana assumed this soldier was a higher-ranking officer. The “higher-ranking” officer then soaked the bodies and faces of the three men in lighter fluid.
After he finished, he stepped back from them, about one metre away, and then lit a lighter. After that the soldiers put fireworks on the back of their shirts and threatened to burn them alive if they didn’t give out the information.
During the interrogation, the soldiers also whipped them and it was really painful for them.
Krissana also added that the soldiers downloading pictures from their cameras and mobile phones to a laptop during the torture and interrogation. In their cameras were pictures of the three of them while they were waiting to give a speech on the Red Shirts stage at Ratchaprason, and also picture of Surachai giving a speech on the Ratchaprasong stage. After the soldiers finished downloading all the pictures, the soldiers shouted to their fellows that the three of them were liars and were associated with the Red Shirts. They were also asked how much they were paid to join the Red Shirt demonstration.
After the three of them were brutally beaten up by the soldiers until they were satisfied, the soldiers handed them a piece of paper to sign. When Surachi and Krissana signed, they didn’t read or want to read that document either since they were fearing for their lives; they were afraid that if they were too slow in signing that paper, they might just be shot dead or disappeared. While they were signing the document, the soldier with the black mask on also threatened to kill and burn them alive if they didn’t confess in front of journalists.
Krissana also noticed that these soldiers didn’t have badges on their uniforms to indentify who they were and what their positions were, therefore he has no idea who these soldiers, whose salaries come from citizen’s pocket, are.
After being threatened and tortured for a while, they were ordered to turn their faces toward the soldiers who were standing in line. They saw the soldiers spreading blanket on the floor and starting placing things on the blanket. Those things were fireworks, lighters, slingshots, catapult ammunitions and a can which smelled of gas.
The soldiers told them that the journalists were being called in and if they said anything differently from what they were told to say, they would be killed and burnt alive.
One of soldier then contacted the journalists and while waiting, they were so afraid that the soldiers would torture them more heavily.
After 10 minutes, 5-6 journalists appeared and when they were interviewed, they said that they had only joined the Red Shirts demonstration.
After the journalists dispersed, the soldiers again threatened them and said that they were in such a pain because they had refused to answer the journalist as they were told. One more time, the soldiers told them to sign another document. They didn’t read the document since they thought it was useless to read and at that moment, they only wished they would come out alive and be sent to a police station as soon as possible.
When police arrived, they were put into police car, and headed off to Pratumwan police station. When they arrived at the police station, about 10 soldiers were there telling the police to write reports according to what was given to them by the soldiers. Krissana stated that the police didn’t ask him a single question. The police just wrote whatever was in the soldier’s report. The three of them were denied the right to see or consult with their legal representative as well as being denied the right to see or even call their relatives.
About 10 soldiers came inside the investigation police office with weapons and told the three of them that they would be killed of they refused to confess.
Krissana also stated that when he arrived to the police station, the investigating officer told him not to be so anxious because he would help him out since there are a lot of us ( he meant Red Shirts) in this police station but Krissana was still denied the right to contact or consult with his relatives or someone who he could trust.
After signing the document, they were sent to the jail at the police station; the cell was very small and the washroom was dirty and smelly. A few people were in there already so including [the three] would [make it] five people. Krissana slept in front of the washroom and used a bottle of water as his pillow. Surachai and Def were sleeping next to them. Surachai and Def said they could only half sleep since they were bitten by mosquitoes all night.
They were all woken up by the police around 4-5 a.m. They were asked to sign a document. They didn’t read document since it was useless and they feared that their families might be harassed and be in trouble.
On May 17, 2010, the police took Surachai and Krissana to Patum Thani municipal court, and unnamed minor was taken to juvenile court.
The Patum Thani municipal court sentenced them to a year in jail on May 17, 2010, which was the same day they were prosecuted. According to the court, the country was in violence state that could possibly harm people’s lives and property, but the two defendants (Krissana and Surachai) did nothing but to violate the laws which worsened the situation. The possessions in dispute that were seized from the defendants that could also be used to create violence were:
1. three knives
2. one slingshot ( with 20 catapult ammunitions)
3. one brassknuckle
4. one fake gun
5. one fake gun
6. one firework
7. one lighter
8. one bottle of gas
9. one mobile phone
10. three cameras.
The two of them were found guilty according to the state decree 2005 section 9 (2) and section 18 along with section 83 of the penal code. They were sentenced to two years in jail but since they confessed, the penalty was reduced to one year.
Krissana and Surichai insisted they didn’t have any weapons as they had been accused by the soldiers, prosecutors and the court.
Their cases are now in the appeals court. They both were denied bail because the court said that they might commit another crime and run away.
They both want to be released and also insist that they are not guilty of what they’ve been are accused of, even though they had confessed in the court. They said people do have rights to join demonstrations.
They are now imprisoned in Section 8 of Klong Prem prison along with seven other Red Shirts they had not know before. All of them are charged with state decree violations.
Since they have been imprisoned there, only relatives with same last name have been allowed to visit and they can only be visited on Mondays. Visitors with a different last name are allowed to visit them only when their relatives with same last name sign a consent form.
They said due to the draconian regulations of visiting, they had started to write letters to their friends. Those who believe in justice and are not able to be with them, please write to them at:
Klong Prem Prison ( section 8)
33/2 Ngamwongwan Road.
Ladyao Chatuchuchak district.
Bangkok 10900
1. Mr. Krissana Tanchayaphong (นายกฤษณะ ธัญชยพงศ์)
2. Mr. Surachai Pringphong (นายสุระชัย พริ้งพงศ์)
3. Mr. Sawang Jongganya (นายแสวง จงกัญญา)
4. Mr. Witsanu Kamonman (นายวิษณุ กมลแมน)
5. Mr. Apiwat Kerdnok (นายอภิวัฒน์ เกิดนอก)
6. Mr. Amnoy Chaisansuk (นายอำนวย ชัยแสนสุข)
7. Mr. Prayoon Sutapinit (นายประยูร สุรพินิต)
8. Mr. Sommai Intanaka (นายสมหมาย อินทนาคา)
9. Mr. Eakkasit Manngam (นายเอกสิทธิ์ แม่นงาม)
Sunday, 3 October 2010
เสียงจากนักโทษการเมือง
สมัชชาสังคมก้าวหน้า รายงาน
กฤษณะ ธัญชยพงศ์ อายุ 34 ปี กับ สุรชัย พริ้งพงศ์ อายุ 19 ปี ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 3 ทุ่ม ทั้งสองถูกทหารจับกุม ขณะที่ คนทั้งสองและรุ่นน้องที่มาด้วยกันที่เป็นเยาวชนอีก 1 คน เดินทางโดยรถยนต์ออกจากที่ชุมนุม แยกราชประสงค์ประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ เพื่อมาเอารถยนต์ที่จอดไว้ที่สี่แยกปทุมวัน และขับรถออกจากสี่แยกปทุมวัน มุ่งหน้าไปที่แยกซอย จุฬา 12(ถนนพญาไท) เพื่อที่จะออกไปที่ถนนพระราม 1 โดยมมีจุดมุ่งหมายว่า ที่ไปแถววัดไชยมงคล แถวพระราม 1 เนื่องจาก สุรชัย พริ้งพงษ์ พักอยู่แถวนั้น
ทั้ง สองเล่าให้ฟังว่า เขาทั้งสอง เป็นสมาชิกกลุ่มเสรีปัญญาชน ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา ทางกลุ่มฯสนับสนุนการต่อสู้ของ นปช. และต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะยุบสภา ทั้งเขาและเพื่อนๆอีกหลายคนจึงมาร่วมชุมนุมกับ นปช. ในวันเกิดเหตุ หลังจากที่สมาชิกในกลุ่มได้ขึ้นเวทีปราศัยที่ ราชประสงค์เสร็จแล้วพวกเขาในกลุ่มต่างแยกย้ายกันกลับ โดยคนที่กลับพร้อมกับเขาทั้งสองคนมีรุ่นน้องอีกคนหนึ่งที่เป็นเยาวชนชื่อ เดพเมื่อขับรถมาถึง ซอยจุฬา 12 มีการตั้งด่านปิดกั้นเส้นทางโดยเจ้าหน้าที่ทหาร ตอนแรกที่เห็นด่านสกัด ทั้งสองคนคิดว่า ทหารน่าจะมีจำนวน 4-5 คนเมื่อทหารโบกรถให้จอด กฤษณะ ซึ่งเป็นคนขับรถก็จอดรถแต่โดยดี ไม่ได้อิดเอื้อน
กฤษณะ เล่าให้ฟังว่า เมื่อพวกเขาทั้งสามคน ลงจากรถ ทันทีทันใดนั้น ก็มีทหารจำนวน ประมาณ 20 คน กรูมาหาเขาทั้งสามคน และทำการตรวจค้นร่างกายของพวกเขา ทั้งยึดเอา โทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูปของพวกเขาไว้ พร้อมกับมัดมือไขว่หลังเขาทั้งสามคนและให้เขาหันหน้าข้าหากำแพงและคุกเข่า ลง ซึ่งขณะที่เขาทั้งสามคุกเข่าลงนั้น เขารู้สึกว่า มีปืนจ่อหัวเขาทั้งสามคนอยู่ตลอดเวลา แต่เขาทั้งสามคนก็ไม่กล้าเหลือบตามอง
หลังจากที่เขาทั้งสามคนคุกเข่า สักพักหนึ่ง ก็มีทหารคนหนึ่งเดินมาถามเขาว่า รู้อะไรเกี่ยวข้องกับม๊อบ ? การ์ดคนไหนสำคัญ? มีอาวุธซ่อนอยู่ตรงไหนบ้าง และถามว่าการ์ดคนไหนใช้อาวุธยิงต่อสู้กับทหาร และขณะที่ตั้งคำถามทหารก็เอาอาวุธปืนมารุมจี้หัวเขาทั้งสามคนตลอดเวลา พร้อมกับทั้งขู่ว่าถ้าไม่บอกข้อมูลตามที่ถามมา ก็จะให้อีกพวกมาสอบถามข้อมูล
กฤษณะ ตอบทหารไปว่า เขาไม่รู้เรื่องที่ทหารถามมา เขาเป็นแค่คนที่มาร่วมชุมนุมและสนับสนุนการชุมนุมของเสื้อแดงเท่านั้น
หลังจากที่กฤษณะตอบไปเช่นนั้น หลังจากนั้นประมาณ ไม่ถึงนาที ก็มีทหารใส่หมวกไอ้โม่งเดินมาพร้อมกับขู่ว่า ถ้าหากไม่บอกข้อเท็จจริงก็จะบีบคอทั้งสามคน แต่ทั้งสามคนก็ไม่มีคำตอบอะไร เมื่อเขาทั้งสามไม่มีคำตอบอย่างที่ทหารต้องการ ทหารคนที่ใส่หมวกไอ้โม่งก็บีบคอพวกเขาทั้งสามประมาณ 30 วินาที กฤษณะเล่าต่อไปว่า เมื่อทหารมาบีบคอเขา ทหารใช้นิ้ว 2 นิ้วมาบีบคอ เขารู้สึกหายใจไม่ออก ส่วนเพื่อนอีก 2 คนนั้น ทั้งถูกบีบคอ กับถูกเต๊ะ และถูกกระทืบที่ด้านหนัง เหตุการณ์ที่ทหารพยายามเค้นคำตอบกับพวกเขาและบีบบังคับ คุกคามให้เขาบอกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการชุมนุมออกมานั้น ใช้เวลาไปทั้งหมด ประมาณ 45 นาที ตลอดเวลาที่ทหารเค้นคำตอบจากเขาทั้งสามคน ก็จะมีทหารถ่ายวิดีโอเทปไว้ตลอดเวลา
เมื่อพวกเขาไม่มีข้อมูลและไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับแกนนำ หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง ก็มีนายทหาร ซึ่งเกฤษณะเข้าใจว่าน่าจะเป็นหัวหน้า เพราะเมื่อเขาเดินมา ทหารแถวนั้นแสดงความเคารพ
เมื่อนายทหารคนนั้นเข้ามา ก็เอาน้ำมันรอนสันเทราดใส่ผม และใบหน้าทั้งสามคน และนายทหารคนนั้นก็ถอยไปยืนห่างจากพวกเขาทั้งสามคนประมาณ 1 เมตร และจุดไฟแช๊ค เมื่อจุดไฟแช๊คแล้วทหารคนนั้น ก็เดินมาที่พวกเขาทั้งสามคนพร้อมกับทั้งเอาพลุมาเสียบใส่ด้านหลังเสื้อของ พวกเขาทั้งสาม และขู่ว่าจะจุดและเผา หากไม่บอกข้อมูล
ในระหว่างการเค้นเอาข้อมูล ทหารก็ใช้ แส้เชือกเส้นเล็กๆ มาเหวี่ยงตี พวกเขาทั้งสามคน ซึ่งเขาทั้งสามรู้สึกแสบหลังมาก
กฤษณะเล่าว่า ขณะที่พวกเขาทั้งสามคนถูกทหารขู่ ระหว่างนั้น ทหารก็เอากล้องถ่ายรูป โทรศัพท์มือถือของพวกเขาไปโหลดข้อมูลใส่ใน โน๊ตบุ๊คของทหาร ในกล้องถ่ายรูปนั้น มีภาพนิ่งที่พวกเขาถ่ายรูปไว้ขณะรอขึ้นเวทีของ นปช.ที่เวทีราชประสงค์ และมีภาพขณะที่สุรชัยฯ ขึ้นเวทีพูดปราศัยที่ราชประสงค์ เมื่อทหารโหลดข้อมูลพบจึงกล่าวหาว่า พวกเขาทั้งสามคนโกหกทหารและตะโกนบอกพวกๆทหารกันว่า เราทั้งสามคนเกี่ยวโยงกับ นปช. และถามพวกเขาว่า รับจ้างมาได้เงินคนละเท่าไหร่
หลังจากทหารกลุ่มนั้นซ้อมเขาจนเป็นที่พอใจแล้ว ก็เอากระดาษมาให้ลงชื่อ ซึ่งตอนลงชื่อนั้นทั้งสุรชัย และกฤษณะไม่ได้อ่านข้อความในเอกสารนั้นด้วย อีกทั้งเขาทั้งสองก็ไม่สนใจจะอ่านด้วย เนื่องจากกลัวว่าหากแม้แต่ลงชื่อช้าไปแม้แต่วินาที เขาคงจะถูกยิงตายหรือหายสาปสูญไปก็ได้ ในขณะที่พวกเขากำลังลงชื่อในเอกสาร ทหารที่สวมใส่หมวกไอ้โม่ง ก็ขู่อีกครั้งว่า ถ้าไม่ยอมรับสารภาพต่อหน้าผู้สื่อข่าว จะพาพวกเขาทั้งสามคนไปฆ่าและไปนั่งยาง
กฤษณะ เล่าว่า เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่า ทหารกลุ่มพวกนี้ ไม่มีป้ายบอกชื่อ ยศ และตำแหน่ง เขาไม่รู้เลยว่าเจ้าหน้าที่ทหาร ที่ประชาชนไทยเป็นคนจ่ายเงินเดือนให้นั้นชื่ออะไรบ้า
หลังจากถูกทหารข่มขู่ และทรมาณ สักพักใหญ่ ก็มีเสียงทหารเรียกให้พวกเขา หันหน้ามาหาทางที่ทหารยืนแถวอยู่ และเขาทั้งสองคน ก็เห็นทหาร เอาผ้ามาวางปูที่พื้น และเอาสิ่งของต่างๆมาวางไว้ที่ผ้าปูพื้น เท่าที่เขาจำได้ เป็นพวก พลุ ไฟแช๊ค หนังสติ้ก ลูกหนังสะติ๊ก กระป่องและมีกลิ่นน้ำมันติดอยู่ในกระป๋อง
เขาจำได้ว่าพอถึงตอนนี้ ทหารบอกว่า เขาจะเรียกผู้สื่อข่าวมา และถ้าไม่รับสารภาพต่อหน้าผู้สื่อข่าว หรือพูดแตกต่างไปจากที่ให้พูด จะพาพวกเขาทั้งสามคนไปนั่งยางและเผา
หนึ่งในกลุ่มทหารนั้นก็ ติดต่อเรียกผู้สื่อข่าวมา ระหว่างรอผู้สื่อข่าวมา กฤษณะเล่าว่าเขารู้สึกเป็นกังวลมากว่าทหารจะทำทำมากกว่าที่ทำอยู่
หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที ผู้สื่อข่าวก็มากันประมาณ 5-6 คน เมื่อนักข่าวถามเขาทั้งสามคน กฤษณะก็ตอบว่า เขาแค่มาร่วมชุมนุมกับ คนเสื้อแดง เท่านั้น
หลังจากผู้สื่อข่าวแยกย้ายจากไปแล้ว ทหารก็มาข่มขู่อีกว่า ทั้งสามคนกวนตีน ทหาร โดยกล่าวหาว่าทั้งสามคนโกหกพวกเขา ไม่ตอบผู้สื่อข่าวอย่างที่ให้ตอบ และทหารก็เอกสารมาให้เขาทั้งสามคนลงชื่ออีก ทั้งสามคนก็ลงชื่อโดยไม่ได้อ่านเหมือนกัน เพราะรู้ดีว่า อ่านไปก็ไม่มีประโยชน์ ขอเพียงแต่ให้รอดตายก็เพียงพอ และให้ไปถึงมือตำรวจโดยเร็วแค่นั้น
เมื่อตำรวจมาถึง ตำรวจก็พาพาเขาทั้งสามคนไปขึ้นรถผู้ขัง และขับส่งไปที่สน.ปทุมวัน เมื่อมาถึงสน.ปทุมวันมีทหารตามมาที่สน.ประมาณ 10 คน และบอกร้อยเวรว่าให้ทำสำนวนตามที่ทหารเขียนมา กฤษณะเล่าว่า ตำรวจไม่ได้เป็นคนสอบถามปากคำด้วยตนเองเลย ตำรวจเขียนสำนวนตามบันทึกที่ทหารทำมา เขาไม่มีสิทธิที่จะพบหรือปรึกษาทนายความ ไม่มีสิทธิพบหรือโทรศัพท์หาญาติ แต่อย่างใดเลย
เมื่อขณะที่ทหารเดินเข้ามาที่ห้องสืบ สวนของร้อยเวร ทหารมาประมาณ 10 คน และพกพาอาวุธมาด้วย และขู่ว่าถ้าไม่รับสารภาพตามที่บอก ก็จะไม่เลี้ยงไว้
กฤษณะบอกว่า ในขณะที่เขามาถึงสน. ปทุมวัน ตำรวจที่เป็นร้อยเวร ก็บอกว่าไม่ต้องกังวลเดี๋ยวเขาช่วย สน.นี้พวกเราเยอะ(หมายถึง เสื้อแดงเยอะ) แต่สุดท้าย กฤษณะ ก็บอกว่า เขาก็ไม่มีสิทธิติดต่อญาติและปรึกษาคนที่เขาไว้วางใจอยู่ดี
หลังจากลงชื่อในเอกสารเสร็จ ตำรวจก็ส่งเขาทั้งสามเข้าไปในห้องขัง ที่ สน.ปทุมวันนั้น ห้องขังเล็ก แคบ ห้องน้ำส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง มีคนอยู่ในห้องขังนั้นอยู่แล้วรวมพวกเขาด้วยก็ 5 คน กฤษณะนอนหน้าห้องน้ำ เอาขวดน้ำเปล่าหนุนแทนหมอน ส่วนสุรชัย และ เดพ สหรัฐ รุ่นน้องที่มาด้วยกันอีกคนหนึ่งนอนถัดจากเขาไป สุรชัย กับกฤษณะ เล่าว่า พวกเขานอนหลับบ้างไม่หลับบ้าง เนื่องจากยุงเยอะ
ทั้งสามคนตื่นมาอีกที ประมาณ ตี 4 – 5 ตำรวจมาปลุกเพื่อให้เขาทั้งสามลงชื่อในเอกสาร ทั้งสามคนก็ตื่นมางังเงียและลงชื่อในเอกสารโดยที่ไม่ได้อ่านอีกเช่นกัน เนื่องจากเขาคิดว่าอ่านหรือไม่อ่านก็ไม่ต่างจากกันเท่าไหร่หนัก อีกทั้งก็เป็นห่วงทางบ้านว่าจะเดือดร้อนและถูกรังครวญ
ในเช้าวันรุ่งขึ้น (17 พ.ค.2553) ตำรวจก็นำตัว สุรชัย และกฤษณะ มาที่ศาลแขวงปทุมวัน ส่วน เดพ สหรัฐนั้น เนื่องจากยังเป็นเยาวชนอยู่ จึงแยกตัวไปฟ้องที่ศาลเยาวชนฯต่างหาก
เมื่อไปอยู่ต่อหน้าศาล ศาลก็อ่านคำฟ้อง ซึ่งเขาทั้งสองเล่าว่าพวกเขาม่มีแรงที่จะคิดหรือว่าจะปรึกษาใคร เนื่องจาก ไม่สามารถติดต่อญาติ และคนที่ไว้ใจได้ ทั้งสองคนก็รับสารภาพ ตามที่ศาลอ่านให้ฟัง กอปรกับด้วยความกลัวที่ถูกทหารข่มขู่ไว้ตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ถูกจับ เนื่องจากพวกทหารมีชื่อและที่อยู่ของเขาหมด เขากลัวว่าจะเดือดร้อนไปถึงครอบครัวของเขา
ศาลแขวงปทุมวัน ตัดสินในวันที่ 17 พ.ค. 2553 ซึ่งเป็นวันเดียวที่เขาถูกอัยการฟ้อง โดยพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 948/2553 คดีหมายเลขแดงที่ 953/2553 ว่า จำเลยทั้งสอง (กฤษณะ และสุรชัย) มีความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาตรา 9 (2) (4)และมาตรา 18 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 1 ปี พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า ขณะเกิดเหตุประเทศอยู่ในสถานกาณ์ที่มีความรุนแรงเป็นอันตรายต่อชีวิตและ ทรัพย์สินของประชาชน จำเลยทั้งสองมิได้นำพาที่จะระงับยับยั้ง แต่กลับฝ่าฝืนกฎหมายอันเป็นการซ้ำเติมต่อสถานการณ์ให้มีความรุนแรงมากยิ่ง ขึ้น ประกอบกับของกลางที่ยึดได้ซึ่งได้ใช้ และมีสภาพที่อาจก่อให้เกิดความรุนแรงยากที่จะแก้ไขป้องกัน( ของกลางตามคำพิพากษานี้ มี 1.อาวุธมีด จำนวน 3 เล่ม2.หนังสติ๊ก(พร้อมลูกเหล็ก 20 ลูก )จำนวน 1 อัน 3.สบับมือจำนวน 1 อัน 4.สิ่งเทียมอาวุธปืนจำนวน 1 อัน 5.สิ่งเทียมอาวุธปืน จำนวน 1 กระบอก 6.พลุ 1 อัน 7.ไฟแช็ค จำนวน 1 อัน 8.น้ำมันก๊าด จำนวน 1 กระป๋อง9.โทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง 10.กล้องถ่ายรูปจำนวน 3 เครื่อง) กรณีจึงไม่มีเหตุรอการลงโทษ และให้ริบของกลางทั้งหมด
กฤษณะและสุรชัย ยืนยันว่า พวกเขาไม่มีอาวุธตามที่ทหาร กับอัยการ และศาลกล่าวหาและลงโทษ
ขณะนี้ คดีของทั้งสองอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ทั้งสุรชัย และกฤษณะ ขอประกันตัว แต่ศาลแขวงปทุมวันไม่ให้ประกันตัว พวกเขาให้เหตุผลว่า กลัวคนทั้งสองจะออกไปก่อคดี และหนีประกัน
เขาทั้งสองเล่าว่า เขาอยากออกไปข้างนอก และยืนยันว่าเขาทั้งสองไม่มีความผิดตามที่รัฐกล่าวหาแม้ว่าเขาจะรับสารภาพ ในชั้นศาลก็ตาม เพราะว่าเขามีสิทธิประท้วงรัฐบาลได้
ขณะนี้เขาทั้งสองคนถูกจองจำที่แดน 8 คลองเปรม พร้อมกับคนเสื้อแดงอีกรวม 9 คนซึ่งพวกเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทั้งหมดโดนข้อหาละเมิดพรก.เหมือนกับเขาทั้งสองคน
หลังจากเขาทั้งสองถูกขังที่คลองเปรม ทางเรือนจำให้เยี่ยมได้เฉพาะ ญาติ และคนที่มีนามสกุลเหมือนกับเขา หากไม่มีนามสกุลเหมือนกับเขาทั้งสอง จะต้องมีพ่อและแม่หรือคนในครอบครัวที่นามสกุลเหมือนกันมาลงชื่อรับรองว่า เป็นญาติ และเยี่ยมได้เฉพาะวันอังคารเท่านั้น
เขาเล่าว่าเมื่อเขาถูกจำกัดการเยี่ยมจากทางเรือนจำ จึงติดต่อกับเพื่อโดยการเขียนจดหมายหาเพื่อนๆที่เขารู้จักที่อยู่ และหากผู้รักความเป็นธรรมคนใด อยากจะมาเยี่ยมเขาแต่มาไม่ได้ ก็เขียนจดหมายมาหาพวกเขาได้ที่
1.นายกฤษณะ ธัญชยพงศ์
2.นายสุระชัย พริ้งพงศ์
3.นายแสวง จงกัญญา
4.นายวิษณุ กมลแมน
5.นายอภิวัฒน์ เกิดนอก
6.นายอำนวย ชัยแสนสุข
7.นายประยูร สุรพินิต
8.นายสมหมาย อินทนาคา
9.นายเอกสิทธิ์ แม่นงาม
เรือนจำกลางคลองเปรม แดน 8
33/2 ถนนงามวงศ์วานแขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
กฤษณะ ธัญชยพงศ์ อายุ 34 ปี กับ สุรชัย พริ้งพงศ์ อายุ 19 ปี ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 3 ทุ่ม ทั้งสองถูกทหารจับกุม ขณะที่ คนทั้งสองและรุ่นน้องที่มาด้วยกันที่เป็นเยาวชนอีก 1 คน เดินทางโดยรถยนต์ออกจากที่ชุมนุม แยกราชประสงค์ประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ เพื่อมาเอารถยนต์ที่จอดไว้ที่สี่แยกปทุมวัน และขับรถออกจากสี่แยกปทุมวัน มุ่งหน้าไปที่แยกซอย จุฬา 12(ถนนพญาไท) เพื่อที่จะออกไปที่ถนนพระราม 1 โดยมมีจุดมุ่งหมายว่า ที่ไปแถววัดไชยมงคล แถวพระราม 1 เนื่องจาก สุรชัย พริ้งพงษ์ พักอยู่แถวนั้น
ทั้ง สองเล่าให้ฟังว่า เขาทั้งสอง เป็นสมาชิกกลุ่มเสรีปัญญาชน ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา ทางกลุ่มฯสนับสนุนการต่อสู้ของ นปช. และต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะยุบสภา ทั้งเขาและเพื่อนๆอีกหลายคนจึงมาร่วมชุมนุมกับ นปช. ในวันเกิดเหตุ หลังจากที่สมาชิกในกลุ่มได้ขึ้นเวทีปราศัยที่ ราชประสงค์เสร็จแล้วพวกเขาในกลุ่มต่างแยกย้ายกันกลับ โดยคนที่กลับพร้อมกับเขาทั้งสองคนมีรุ่นน้องอีกคนหนึ่งที่เป็นเยาวชนชื่อ เดพเมื่อขับรถมาถึง ซอยจุฬา 12 มีการตั้งด่านปิดกั้นเส้นทางโดยเจ้าหน้าที่ทหาร ตอนแรกที่เห็นด่านสกัด ทั้งสองคนคิดว่า ทหารน่าจะมีจำนวน 4-5 คนเมื่อทหารโบกรถให้จอด กฤษณะ ซึ่งเป็นคนขับรถก็จอดรถแต่โดยดี ไม่ได้อิดเอื้อน
กฤษณะ เล่าให้ฟังว่า เมื่อพวกเขาทั้งสามคน ลงจากรถ ทันทีทันใดนั้น ก็มีทหารจำนวน ประมาณ 20 คน กรูมาหาเขาทั้งสามคน และทำการตรวจค้นร่างกายของพวกเขา ทั้งยึดเอา โทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูปของพวกเขาไว้ พร้อมกับมัดมือไขว่หลังเขาทั้งสามคนและให้เขาหันหน้าข้าหากำแพงและคุกเข่า ลง ซึ่งขณะที่เขาทั้งสามคุกเข่าลงนั้น เขารู้สึกว่า มีปืนจ่อหัวเขาทั้งสามคนอยู่ตลอดเวลา แต่เขาทั้งสามคนก็ไม่กล้าเหลือบตามอง
หลังจากที่เขาทั้งสามคนคุกเข่า สักพักหนึ่ง ก็มีทหารคนหนึ่งเดินมาถามเขาว่า รู้อะไรเกี่ยวข้องกับม๊อบ ? การ์ดคนไหนสำคัญ? มีอาวุธซ่อนอยู่ตรงไหนบ้าง และถามว่าการ์ดคนไหนใช้อาวุธยิงต่อสู้กับทหาร และขณะที่ตั้งคำถามทหารก็เอาอาวุธปืนมารุมจี้หัวเขาทั้งสามคนตลอดเวลา พร้อมกับทั้งขู่ว่าถ้าไม่บอกข้อมูลตามที่ถามมา ก็จะให้อีกพวกมาสอบถามข้อมูล
กฤษณะ ตอบทหารไปว่า เขาไม่รู้เรื่องที่ทหารถามมา เขาเป็นแค่คนที่มาร่วมชุมนุมและสนับสนุนการชุมนุมของเสื้อแดงเท่านั้น
หลังจากที่กฤษณะตอบไปเช่นนั้น หลังจากนั้นประมาณ ไม่ถึงนาที ก็มีทหารใส่หมวกไอ้โม่งเดินมาพร้อมกับขู่ว่า ถ้าหากไม่บอกข้อเท็จจริงก็จะบีบคอทั้งสามคน แต่ทั้งสามคนก็ไม่มีคำตอบอะไร เมื่อเขาทั้งสามไม่มีคำตอบอย่างที่ทหารต้องการ ทหารคนที่ใส่หมวกไอ้โม่งก็บีบคอพวกเขาทั้งสามประมาณ 30 วินาที กฤษณะเล่าต่อไปว่า เมื่อทหารมาบีบคอเขา ทหารใช้นิ้ว 2 นิ้วมาบีบคอ เขารู้สึกหายใจไม่ออก ส่วนเพื่อนอีก 2 คนนั้น ทั้งถูกบีบคอ กับถูกเต๊ะ และถูกกระทืบที่ด้านหนัง เหตุการณ์ที่ทหารพยายามเค้นคำตอบกับพวกเขาและบีบบังคับ คุกคามให้เขาบอกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการชุมนุมออกมานั้น ใช้เวลาไปทั้งหมด ประมาณ 45 นาที ตลอดเวลาที่ทหารเค้นคำตอบจากเขาทั้งสามคน ก็จะมีทหารถ่ายวิดีโอเทปไว้ตลอดเวลา
เมื่อพวกเขาไม่มีข้อมูลและไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับแกนนำ หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง ก็มีนายทหาร ซึ่งเกฤษณะเข้าใจว่าน่าจะเป็นหัวหน้า เพราะเมื่อเขาเดินมา ทหารแถวนั้นแสดงความเคารพ
เมื่อนายทหารคนนั้นเข้ามา ก็เอาน้ำมันรอนสันเทราดใส่ผม และใบหน้าทั้งสามคน และนายทหารคนนั้นก็ถอยไปยืนห่างจากพวกเขาทั้งสามคนประมาณ 1 เมตร และจุดไฟแช๊ค เมื่อจุดไฟแช๊คแล้วทหารคนนั้น ก็เดินมาที่พวกเขาทั้งสามคนพร้อมกับทั้งเอาพลุมาเสียบใส่ด้านหลังเสื้อของ พวกเขาทั้งสาม และขู่ว่าจะจุดและเผา หากไม่บอกข้อมูล
ในระหว่างการเค้นเอาข้อมูล ทหารก็ใช้ แส้เชือกเส้นเล็กๆ มาเหวี่ยงตี พวกเขาทั้งสามคน ซึ่งเขาทั้งสามรู้สึกแสบหลังมาก
กฤษณะเล่าว่า ขณะที่พวกเขาทั้งสามคนถูกทหารขู่ ระหว่างนั้น ทหารก็เอากล้องถ่ายรูป โทรศัพท์มือถือของพวกเขาไปโหลดข้อมูลใส่ใน โน๊ตบุ๊คของทหาร ในกล้องถ่ายรูปนั้น มีภาพนิ่งที่พวกเขาถ่ายรูปไว้ขณะรอขึ้นเวทีของ นปช.ที่เวทีราชประสงค์ และมีภาพขณะที่สุรชัยฯ ขึ้นเวทีพูดปราศัยที่ราชประสงค์ เมื่อทหารโหลดข้อมูลพบจึงกล่าวหาว่า พวกเขาทั้งสามคนโกหกทหารและตะโกนบอกพวกๆทหารกันว่า เราทั้งสามคนเกี่ยวโยงกับ นปช. และถามพวกเขาว่า รับจ้างมาได้เงินคนละเท่าไหร่
หลังจากทหารกลุ่มนั้นซ้อมเขาจนเป็นที่พอใจแล้ว ก็เอากระดาษมาให้ลงชื่อ ซึ่งตอนลงชื่อนั้นทั้งสุรชัย และกฤษณะไม่ได้อ่านข้อความในเอกสารนั้นด้วย อีกทั้งเขาทั้งสองก็ไม่สนใจจะอ่านด้วย เนื่องจากกลัวว่าหากแม้แต่ลงชื่อช้าไปแม้แต่วินาที เขาคงจะถูกยิงตายหรือหายสาปสูญไปก็ได้ ในขณะที่พวกเขากำลังลงชื่อในเอกสาร ทหารที่สวมใส่หมวกไอ้โม่ง ก็ขู่อีกครั้งว่า ถ้าไม่ยอมรับสารภาพต่อหน้าผู้สื่อข่าว จะพาพวกเขาทั้งสามคนไปฆ่าและไปนั่งยาง
กฤษณะ เล่าว่า เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่า ทหารกลุ่มพวกนี้ ไม่มีป้ายบอกชื่อ ยศ และตำแหน่ง เขาไม่รู้เลยว่าเจ้าหน้าที่ทหาร ที่ประชาชนไทยเป็นคนจ่ายเงินเดือนให้นั้นชื่ออะไรบ้า
หลังจากถูกทหารข่มขู่ และทรมาณ สักพักใหญ่ ก็มีเสียงทหารเรียกให้พวกเขา หันหน้ามาหาทางที่ทหารยืนแถวอยู่ และเขาทั้งสองคน ก็เห็นทหาร เอาผ้ามาวางปูที่พื้น และเอาสิ่งของต่างๆมาวางไว้ที่ผ้าปูพื้น เท่าที่เขาจำได้ เป็นพวก พลุ ไฟแช๊ค หนังสติ้ก ลูกหนังสะติ๊ก กระป่องและมีกลิ่นน้ำมันติดอยู่ในกระป๋อง
เขาจำได้ว่าพอถึงตอนนี้ ทหารบอกว่า เขาจะเรียกผู้สื่อข่าวมา และถ้าไม่รับสารภาพต่อหน้าผู้สื่อข่าว หรือพูดแตกต่างไปจากที่ให้พูด จะพาพวกเขาทั้งสามคนไปนั่งยางและเผา
หนึ่งในกลุ่มทหารนั้นก็ ติดต่อเรียกผู้สื่อข่าวมา ระหว่างรอผู้สื่อข่าวมา กฤษณะเล่าว่าเขารู้สึกเป็นกังวลมากว่าทหารจะทำทำมากกว่าที่ทำอยู่
หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที ผู้สื่อข่าวก็มากันประมาณ 5-6 คน เมื่อนักข่าวถามเขาทั้งสามคน กฤษณะก็ตอบว่า เขาแค่มาร่วมชุมนุมกับ คนเสื้อแดง เท่านั้น
หลังจากผู้สื่อข่าวแยกย้ายจากไปแล้ว ทหารก็มาข่มขู่อีกว่า ทั้งสามคนกวนตีน ทหาร โดยกล่าวหาว่าทั้งสามคนโกหกพวกเขา ไม่ตอบผู้สื่อข่าวอย่างที่ให้ตอบ และทหารก็เอกสารมาให้เขาทั้งสามคนลงชื่ออีก ทั้งสามคนก็ลงชื่อโดยไม่ได้อ่านเหมือนกัน เพราะรู้ดีว่า อ่านไปก็ไม่มีประโยชน์ ขอเพียงแต่ให้รอดตายก็เพียงพอ และให้ไปถึงมือตำรวจโดยเร็วแค่นั้น
เมื่อตำรวจมาถึง ตำรวจก็พาพาเขาทั้งสามคนไปขึ้นรถผู้ขัง และขับส่งไปที่สน.ปทุมวัน เมื่อมาถึงสน.ปทุมวันมีทหารตามมาที่สน.ประมาณ 10 คน และบอกร้อยเวรว่าให้ทำสำนวนตามที่ทหารเขียนมา กฤษณะเล่าว่า ตำรวจไม่ได้เป็นคนสอบถามปากคำด้วยตนเองเลย ตำรวจเขียนสำนวนตามบันทึกที่ทหารทำมา เขาไม่มีสิทธิที่จะพบหรือปรึกษาทนายความ ไม่มีสิทธิพบหรือโทรศัพท์หาญาติ แต่อย่างใดเลย
เมื่อขณะที่ทหารเดินเข้ามาที่ห้องสืบ สวนของร้อยเวร ทหารมาประมาณ 10 คน และพกพาอาวุธมาด้วย และขู่ว่าถ้าไม่รับสารภาพตามที่บอก ก็จะไม่เลี้ยงไว้
กฤษณะบอกว่า ในขณะที่เขามาถึงสน. ปทุมวัน ตำรวจที่เป็นร้อยเวร ก็บอกว่าไม่ต้องกังวลเดี๋ยวเขาช่วย สน.นี้พวกเราเยอะ(หมายถึง เสื้อแดงเยอะ) แต่สุดท้าย กฤษณะ ก็บอกว่า เขาก็ไม่มีสิทธิติดต่อญาติและปรึกษาคนที่เขาไว้วางใจอยู่ดี
หลังจากลงชื่อในเอกสารเสร็จ ตำรวจก็ส่งเขาทั้งสามเข้าไปในห้องขัง ที่ สน.ปทุมวันนั้น ห้องขังเล็ก แคบ ห้องน้ำส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง มีคนอยู่ในห้องขังนั้นอยู่แล้วรวมพวกเขาด้วยก็ 5 คน กฤษณะนอนหน้าห้องน้ำ เอาขวดน้ำเปล่าหนุนแทนหมอน ส่วนสุรชัย และ เดพ สหรัฐ รุ่นน้องที่มาด้วยกันอีกคนหนึ่งนอนถัดจากเขาไป สุรชัย กับกฤษณะ เล่าว่า พวกเขานอนหลับบ้างไม่หลับบ้าง เนื่องจากยุงเยอะ
ทั้งสามคนตื่นมาอีกที ประมาณ ตี 4 – 5 ตำรวจมาปลุกเพื่อให้เขาทั้งสามลงชื่อในเอกสาร ทั้งสามคนก็ตื่นมางังเงียและลงชื่อในเอกสารโดยที่ไม่ได้อ่านอีกเช่นกัน เนื่องจากเขาคิดว่าอ่านหรือไม่อ่านก็ไม่ต่างจากกันเท่าไหร่หนัก อีกทั้งก็เป็นห่วงทางบ้านว่าจะเดือดร้อนและถูกรังครวญ
ในเช้าวันรุ่งขึ้น (17 พ.ค.2553) ตำรวจก็นำตัว สุรชัย และกฤษณะ มาที่ศาลแขวงปทุมวัน ส่วน เดพ สหรัฐนั้น เนื่องจากยังเป็นเยาวชนอยู่ จึงแยกตัวไปฟ้องที่ศาลเยาวชนฯต่างหาก
เมื่อไปอยู่ต่อหน้าศาล ศาลก็อ่านคำฟ้อง ซึ่งเขาทั้งสองเล่าว่าพวกเขาม่มีแรงที่จะคิดหรือว่าจะปรึกษาใคร เนื่องจาก ไม่สามารถติดต่อญาติ และคนที่ไว้ใจได้ ทั้งสองคนก็รับสารภาพ ตามที่ศาลอ่านให้ฟัง กอปรกับด้วยความกลัวที่ถูกทหารข่มขู่ไว้ตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ถูกจับ เนื่องจากพวกทหารมีชื่อและที่อยู่ของเขาหมด เขากลัวว่าจะเดือดร้อนไปถึงครอบครัวของเขา
ศาลแขวงปทุมวัน ตัดสินในวันที่ 17 พ.ค. 2553 ซึ่งเป็นวันเดียวที่เขาถูกอัยการฟ้อง โดยพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 948/2553 คดีหมายเลขแดงที่ 953/2553 ว่า จำเลยทั้งสอง (กฤษณะ และสุรชัย) มีความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาตรา 9 (2) (4)และมาตรา 18 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 1 ปี พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า ขณะเกิดเหตุประเทศอยู่ในสถานกาณ์ที่มีความรุนแรงเป็นอันตรายต่อชีวิตและ ทรัพย์สินของประชาชน จำเลยทั้งสองมิได้นำพาที่จะระงับยับยั้ง แต่กลับฝ่าฝืนกฎหมายอันเป็นการซ้ำเติมต่อสถานการณ์ให้มีความรุนแรงมากยิ่ง ขึ้น ประกอบกับของกลางที่ยึดได้ซึ่งได้ใช้ และมีสภาพที่อาจก่อให้เกิดความรุนแรงยากที่จะแก้ไขป้องกัน( ของกลางตามคำพิพากษานี้ มี 1.อาวุธมีด จำนวน 3 เล่ม2.หนังสติ๊ก(พร้อมลูกเหล็ก 20 ลูก )จำนวน 1 อัน 3.สบับมือจำนวน 1 อัน 4.สิ่งเทียมอาวุธปืนจำนวน 1 อัน 5.สิ่งเทียมอาวุธปืน จำนวน 1 กระบอก 6.พลุ 1 อัน 7.ไฟแช็ค จำนวน 1 อัน 8.น้ำมันก๊าด จำนวน 1 กระป๋อง9.โทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง 10.กล้องถ่ายรูปจำนวน 3 เครื่อง) กรณีจึงไม่มีเหตุรอการลงโทษ และให้ริบของกลางทั้งหมด
กฤษณะและสุรชัย ยืนยันว่า พวกเขาไม่มีอาวุธตามที่ทหาร กับอัยการ และศาลกล่าวหาและลงโทษ
ขณะนี้ คดีของทั้งสองอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ทั้งสุรชัย และกฤษณะ ขอประกันตัว แต่ศาลแขวงปทุมวันไม่ให้ประกันตัว พวกเขาให้เหตุผลว่า กลัวคนทั้งสองจะออกไปก่อคดี และหนีประกัน
เขาทั้งสองเล่าว่า เขาอยากออกไปข้างนอก และยืนยันว่าเขาทั้งสองไม่มีความผิดตามที่รัฐกล่าวหาแม้ว่าเขาจะรับสารภาพ ในชั้นศาลก็ตาม เพราะว่าเขามีสิทธิประท้วงรัฐบาลได้
ขณะนี้เขาทั้งสองคนถูกจองจำที่แดน 8 คลองเปรม พร้อมกับคนเสื้อแดงอีกรวม 9 คนซึ่งพวกเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทั้งหมดโดนข้อหาละเมิดพรก.เหมือนกับเขาทั้งสองคน
หลังจากเขาทั้งสองถูกขังที่คลองเปรม ทางเรือนจำให้เยี่ยมได้เฉพาะ ญาติ และคนที่มีนามสกุลเหมือนกับเขา หากไม่มีนามสกุลเหมือนกับเขาทั้งสอง จะต้องมีพ่อและแม่หรือคนในครอบครัวที่นามสกุลเหมือนกันมาลงชื่อรับรองว่า เป็นญาติ และเยี่ยมได้เฉพาะวันอังคารเท่านั้น
เขาเล่าว่าเมื่อเขาถูกจำกัดการเยี่ยมจากทางเรือนจำ จึงติดต่อกับเพื่อโดยการเขียนจดหมายหาเพื่อนๆที่เขารู้จักที่อยู่ และหากผู้รักความเป็นธรรมคนใด อยากจะมาเยี่ยมเขาแต่มาไม่ได้ ก็เขียนจดหมายมาหาพวกเขาได้ที่
1.นายกฤษณะ ธัญชยพงศ์
2.นายสุระชัย พริ้งพงศ์
3.นายแสวง จงกัญญา
4.นายวิษณุ กมลแมน
5.นายอภิวัฒน์ เกิดนอก
6.นายอำนวย ชัยแสนสุข
7.นายประยูร สุรพินิต
8.นายสมหมาย อินทนาคา
9.นายเอกสิทธิ์ แม่นงาม
เรือนจำกลางคลองเปรม แดน 8
33/2 ถนนงามวงศ์วานแขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
Subscribe to:
Posts (Atom)