สมัชชาสังคมก้าวหน้า รายงาน
กฤษณะ ธัญชยพงศ์ อายุ 34 ปี กับ สุรชัย พริ้งพงศ์ อายุ 19 ปี ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 3 ทุ่ม ทั้งสองถูกทหารจับกุม ขณะที่ คนทั้งสองและรุ่นน้องที่มาด้วยกันที่เป็นเยาวชนอีก 1 คน เดินทางโดยรถยนต์ออกจากที่ชุมนุม แยกราชประสงค์ประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ เพื่อมาเอารถยนต์ที่จอดไว้ที่สี่แยกปทุมวัน และขับรถออกจากสี่แยกปทุมวัน มุ่งหน้าไปที่แยกซอย จุฬา 12(ถนนพญาไท) เพื่อที่จะออกไปที่ถนนพระราม 1 โดยมมีจุดมุ่งหมายว่า ที่ไปแถววัดไชยมงคล แถวพระราม 1 เนื่องจาก สุรชัย พริ้งพงษ์ พักอยู่แถวนั้น
ทั้ง สองเล่าให้ฟังว่า เขาทั้งสอง เป็นสมาชิกกลุ่มเสรีปัญญาชน ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา ทางกลุ่มฯสนับสนุนการต่อสู้ของ นปช. และต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะยุบสภา ทั้งเขาและเพื่อนๆอีกหลายคนจึงมาร่วมชุมนุมกับ นปช. ในวันเกิดเหตุ หลังจากที่สมาชิกในกลุ่มได้ขึ้นเวทีปราศัยที่ ราชประสงค์เสร็จแล้วพวกเขาในกลุ่มต่างแยกย้ายกันกลับ โดยคนที่กลับพร้อมกับเขาทั้งสองคนมีรุ่นน้องอีกคนหนึ่งที่เป็นเยาวชนชื่อ เดพเมื่อขับรถมาถึง ซอยจุฬา 12 มีการตั้งด่านปิดกั้นเส้นทางโดยเจ้าหน้าที่ทหาร ตอนแรกที่เห็นด่านสกัด ทั้งสองคนคิดว่า ทหารน่าจะมีจำนวน 4-5 คนเมื่อทหารโบกรถให้จอด กฤษณะ ซึ่งเป็นคนขับรถก็จอดรถแต่โดยดี ไม่ได้อิดเอื้อน
กฤษณะ เล่าให้ฟังว่า เมื่อพวกเขาทั้งสามคน ลงจากรถ ทันทีทันใดนั้น ก็มีทหารจำนวน ประมาณ 20 คน กรูมาหาเขาทั้งสามคน และทำการตรวจค้นร่างกายของพวกเขา ทั้งยึดเอา โทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูปของพวกเขาไว้ พร้อมกับมัดมือไขว่หลังเขาทั้งสามคนและให้เขาหันหน้าข้าหากำแพงและคุกเข่า ลง ซึ่งขณะที่เขาทั้งสามคุกเข่าลงนั้น เขารู้สึกว่า มีปืนจ่อหัวเขาทั้งสามคนอยู่ตลอดเวลา แต่เขาทั้งสามคนก็ไม่กล้าเหลือบตามอง
หลังจากที่เขาทั้งสามคนคุกเข่า สักพักหนึ่ง ก็มีทหารคนหนึ่งเดินมาถามเขาว่า รู้อะไรเกี่ยวข้องกับม๊อบ ? การ์ดคนไหนสำคัญ? มีอาวุธซ่อนอยู่ตรงไหนบ้าง และถามว่าการ์ดคนไหนใช้อาวุธยิงต่อสู้กับทหาร และขณะที่ตั้งคำถามทหารก็เอาอาวุธปืนมารุมจี้หัวเขาทั้งสามคนตลอดเวลา พร้อมกับทั้งขู่ว่าถ้าไม่บอกข้อมูลตามที่ถามมา ก็จะให้อีกพวกมาสอบถามข้อมูล
กฤษณะ ตอบทหารไปว่า เขาไม่รู้เรื่องที่ทหารถามมา เขาเป็นแค่คนที่มาร่วมชุมนุมและสนับสนุนการชุมนุมของเสื้อแดงเท่านั้น
หลังจากที่กฤษณะตอบไปเช่นนั้น หลังจากนั้นประมาณ ไม่ถึงนาที ก็มีทหารใส่หมวกไอ้โม่งเดินมาพร้อมกับขู่ว่า ถ้าหากไม่บอกข้อเท็จจริงก็จะบีบคอทั้งสามคน แต่ทั้งสามคนก็ไม่มีคำตอบอะไร เมื่อเขาทั้งสามไม่มีคำตอบอย่างที่ทหารต้องการ ทหารคนที่ใส่หมวกไอ้โม่งก็บีบคอพวกเขาทั้งสามประมาณ 30 วินาที กฤษณะเล่าต่อไปว่า เมื่อทหารมาบีบคอเขา ทหารใช้นิ้ว 2 นิ้วมาบีบคอ เขารู้สึกหายใจไม่ออก ส่วนเพื่อนอีก 2 คนนั้น ทั้งถูกบีบคอ กับถูกเต๊ะ และถูกกระทืบที่ด้านหนัง เหตุการณ์ที่ทหารพยายามเค้นคำตอบกับพวกเขาและบีบบังคับ คุกคามให้เขาบอกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการชุมนุมออกมานั้น ใช้เวลาไปทั้งหมด ประมาณ 45 นาที ตลอดเวลาที่ทหารเค้นคำตอบจากเขาทั้งสามคน ก็จะมีทหารถ่ายวิดีโอเทปไว้ตลอดเวลา
เมื่อพวกเขาไม่มีข้อมูลและไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับแกนนำ หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง ก็มีนายทหาร ซึ่งเกฤษณะเข้าใจว่าน่าจะเป็นหัวหน้า เพราะเมื่อเขาเดินมา ทหารแถวนั้นแสดงความเคารพ
เมื่อนายทหารคนนั้นเข้ามา ก็เอาน้ำมันรอนสันเทราดใส่ผม และใบหน้าทั้งสามคน และนายทหารคนนั้นก็ถอยไปยืนห่างจากพวกเขาทั้งสามคนประมาณ 1 เมตร และจุดไฟแช๊ค เมื่อจุดไฟแช๊คแล้วทหารคนนั้น ก็เดินมาที่พวกเขาทั้งสามคนพร้อมกับทั้งเอาพลุมาเสียบใส่ด้านหลังเสื้อของ พวกเขาทั้งสาม และขู่ว่าจะจุดและเผา หากไม่บอกข้อมูล
ในระหว่างการเค้นเอาข้อมูล ทหารก็ใช้ แส้เชือกเส้นเล็กๆ มาเหวี่ยงตี พวกเขาทั้งสามคน ซึ่งเขาทั้งสามรู้สึกแสบหลังมาก
กฤษณะเล่าว่า ขณะที่พวกเขาทั้งสามคนถูกทหารขู่ ระหว่างนั้น ทหารก็เอากล้องถ่ายรูป โทรศัพท์มือถือของพวกเขาไปโหลดข้อมูลใส่ใน โน๊ตบุ๊คของทหาร ในกล้องถ่ายรูปนั้น มีภาพนิ่งที่พวกเขาถ่ายรูปไว้ขณะรอขึ้นเวทีของ นปช.ที่เวทีราชประสงค์ และมีภาพขณะที่สุรชัยฯ ขึ้นเวทีพูดปราศัยที่ราชประสงค์ เมื่อทหารโหลดข้อมูลพบจึงกล่าวหาว่า พวกเขาทั้งสามคนโกหกทหารและตะโกนบอกพวกๆทหารกันว่า เราทั้งสามคนเกี่ยวโยงกับ นปช. และถามพวกเขาว่า รับจ้างมาได้เงินคนละเท่าไหร่
หลังจากทหารกลุ่มนั้นซ้อมเขาจนเป็นที่พอใจแล้ว ก็เอากระดาษมาให้ลงชื่อ ซึ่งตอนลงชื่อนั้นทั้งสุรชัย และกฤษณะไม่ได้อ่านข้อความในเอกสารนั้นด้วย อีกทั้งเขาทั้งสองก็ไม่สนใจจะอ่านด้วย เนื่องจากกลัวว่าหากแม้แต่ลงชื่อช้าไปแม้แต่วินาที เขาคงจะถูกยิงตายหรือหายสาปสูญไปก็ได้ ในขณะที่พวกเขากำลังลงชื่อในเอกสาร ทหารที่สวมใส่หมวกไอ้โม่ง ก็ขู่อีกครั้งว่า ถ้าไม่ยอมรับสารภาพต่อหน้าผู้สื่อข่าว จะพาพวกเขาทั้งสามคนไปฆ่าและไปนั่งยาง
กฤษณะ เล่าว่า เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่า ทหารกลุ่มพวกนี้ ไม่มีป้ายบอกชื่อ ยศ และตำแหน่ง เขาไม่รู้เลยว่าเจ้าหน้าที่ทหาร ที่ประชาชนไทยเป็นคนจ่ายเงินเดือนให้นั้นชื่ออะไรบ้า
หลังจากถูกทหารข่มขู่ และทรมาณ สักพักใหญ่ ก็มีเสียงทหารเรียกให้พวกเขา หันหน้ามาหาทางที่ทหารยืนแถวอยู่ และเขาทั้งสองคน ก็เห็นทหาร เอาผ้ามาวางปูที่พื้น และเอาสิ่งของต่างๆมาวางไว้ที่ผ้าปูพื้น เท่าที่เขาจำได้ เป็นพวก พลุ ไฟแช๊ค หนังสติ้ก ลูกหนังสะติ๊ก กระป่องและมีกลิ่นน้ำมันติดอยู่ในกระป๋อง
เขาจำได้ว่าพอถึงตอนนี้ ทหารบอกว่า เขาจะเรียกผู้สื่อข่าวมา และถ้าไม่รับสารภาพต่อหน้าผู้สื่อข่าว หรือพูดแตกต่างไปจากที่ให้พูด จะพาพวกเขาทั้งสามคนไปนั่งยางและเผา
หนึ่งในกลุ่มทหารนั้นก็ ติดต่อเรียกผู้สื่อข่าวมา ระหว่างรอผู้สื่อข่าวมา กฤษณะเล่าว่าเขารู้สึกเป็นกังวลมากว่าทหารจะทำทำมากกว่าที่ทำอยู่
หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที ผู้สื่อข่าวก็มากันประมาณ 5-6 คน เมื่อนักข่าวถามเขาทั้งสามคน กฤษณะก็ตอบว่า เขาแค่มาร่วมชุมนุมกับ คนเสื้อแดง เท่านั้น
หลังจากผู้สื่อข่าวแยกย้ายจากไปแล้ว ทหารก็มาข่มขู่อีกว่า ทั้งสามคนกวนตีน ทหาร โดยกล่าวหาว่าทั้งสามคนโกหกพวกเขา ไม่ตอบผู้สื่อข่าวอย่างที่ให้ตอบ และทหารก็เอกสารมาให้เขาทั้งสามคนลงชื่ออีก ทั้งสามคนก็ลงชื่อโดยไม่ได้อ่านเหมือนกัน เพราะรู้ดีว่า อ่านไปก็ไม่มีประโยชน์ ขอเพียงแต่ให้รอดตายก็เพียงพอ และให้ไปถึงมือตำรวจโดยเร็วแค่นั้น
เมื่อตำรวจมาถึง ตำรวจก็พาพาเขาทั้งสามคนไปขึ้นรถผู้ขัง และขับส่งไปที่สน.ปทุมวัน เมื่อมาถึงสน.ปทุมวันมีทหารตามมาที่สน.ประมาณ 10 คน และบอกร้อยเวรว่าให้ทำสำนวนตามที่ทหารเขียนมา กฤษณะเล่าว่า ตำรวจไม่ได้เป็นคนสอบถามปากคำด้วยตนเองเลย ตำรวจเขียนสำนวนตามบันทึกที่ทหารทำมา เขาไม่มีสิทธิที่จะพบหรือปรึกษาทนายความ ไม่มีสิทธิพบหรือโทรศัพท์หาญาติ แต่อย่างใดเลย
เมื่อขณะที่ทหารเดินเข้ามาที่ห้องสืบ สวนของร้อยเวร ทหารมาประมาณ 10 คน และพกพาอาวุธมาด้วย และขู่ว่าถ้าไม่รับสารภาพตามที่บอก ก็จะไม่เลี้ยงไว้
กฤษณะบอกว่า ในขณะที่เขามาถึงสน. ปทุมวัน ตำรวจที่เป็นร้อยเวร ก็บอกว่าไม่ต้องกังวลเดี๋ยวเขาช่วย สน.นี้พวกเราเยอะ(หมายถึง เสื้อแดงเยอะ) แต่สุดท้าย กฤษณะ ก็บอกว่า เขาก็ไม่มีสิทธิติดต่อญาติและปรึกษาคนที่เขาไว้วางใจอยู่ดี
หลังจากลงชื่อในเอกสารเสร็จ ตำรวจก็ส่งเขาทั้งสามเข้าไปในห้องขัง ที่ สน.ปทุมวันนั้น ห้องขังเล็ก แคบ ห้องน้ำส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง มีคนอยู่ในห้องขังนั้นอยู่แล้วรวมพวกเขาด้วยก็ 5 คน กฤษณะนอนหน้าห้องน้ำ เอาขวดน้ำเปล่าหนุนแทนหมอน ส่วนสุรชัย และ เดพ สหรัฐ รุ่นน้องที่มาด้วยกันอีกคนหนึ่งนอนถัดจากเขาไป สุรชัย กับกฤษณะ เล่าว่า พวกเขานอนหลับบ้างไม่หลับบ้าง เนื่องจากยุงเยอะ
ทั้งสามคนตื่นมาอีกที ประมาณ ตี 4 – 5 ตำรวจมาปลุกเพื่อให้เขาทั้งสามลงชื่อในเอกสาร ทั้งสามคนก็ตื่นมางังเงียและลงชื่อในเอกสารโดยที่ไม่ได้อ่านอีกเช่นกัน เนื่องจากเขาคิดว่าอ่านหรือไม่อ่านก็ไม่ต่างจากกันเท่าไหร่หนัก อีกทั้งก็เป็นห่วงทางบ้านว่าจะเดือดร้อนและถูกรังครวญ
ในเช้าวันรุ่งขึ้น (17 พ.ค.2553) ตำรวจก็นำตัว สุรชัย และกฤษณะ มาที่ศาลแขวงปทุมวัน ส่วน เดพ สหรัฐนั้น เนื่องจากยังเป็นเยาวชนอยู่ จึงแยกตัวไปฟ้องที่ศาลเยาวชนฯต่างหาก
เมื่อไปอยู่ต่อหน้าศาล ศาลก็อ่านคำฟ้อง ซึ่งเขาทั้งสองเล่าว่าพวกเขาม่มีแรงที่จะคิดหรือว่าจะปรึกษาใคร เนื่องจาก ไม่สามารถติดต่อญาติ และคนที่ไว้ใจได้ ทั้งสองคนก็รับสารภาพ ตามที่ศาลอ่านให้ฟัง กอปรกับด้วยความกลัวที่ถูกทหารข่มขู่ไว้ตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ถูกจับ เนื่องจากพวกทหารมีชื่อและที่อยู่ของเขาหมด เขากลัวว่าจะเดือดร้อนไปถึงครอบครัวของเขา
ศาลแขวงปทุมวัน ตัดสินในวันที่ 17 พ.ค. 2553 ซึ่งเป็นวันเดียวที่เขาถูกอัยการฟ้อง โดยพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 948/2553 คดีหมายเลขแดงที่ 953/2553 ว่า จำเลยทั้งสอง (กฤษณะ และสุรชัย) มีความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาตรา 9 (2) (4)และมาตรา 18 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 1 ปี พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า ขณะเกิดเหตุประเทศอยู่ในสถานกาณ์ที่มีความรุนแรงเป็นอันตรายต่อชีวิตและ ทรัพย์สินของประชาชน จำเลยทั้งสองมิได้นำพาที่จะระงับยับยั้ง แต่กลับฝ่าฝืนกฎหมายอันเป็นการซ้ำเติมต่อสถานการณ์ให้มีความรุนแรงมากยิ่ง ขึ้น ประกอบกับของกลางที่ยึดได้ซึ่งได้ใช้ และมีสภาพที่อาจก่อให้เกิดความรุนแรงยากที่จะแก้ไขป้องกัน( ของกลางตามคำพิพากษานี้ มี 1.อาวุธมีด จำนวน 3 เล่ม2.หนังสติ๊ก(พร้อมลูกเหล็ก 20 ลูก )จำนวน 1 อัน 3.สบับมือจำนวน 1 อัน 4.สิ่งเทียมอาวุธปืนจำนวน 1 อัน 5.สิ่งเทียมอาวุธปืน จำนวน 1 กระบอก 6.พลุ 1 อัน 7.ไฟแช็ค จำนวน 1 อัน 8.น้ำมันก๊าด จำนวน 1 กระป๋อง9.โทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง 10.กล้องถ่ายรูปจำนวน 3 เครื่อง) กรณีจึงไม่มีเหตุรอการลงโทษ และให้ริบของกลางทั้งหมด
กฤษณะและสุรชัย ยืนยันว่า พวกเขาไม่มีอาวุธตามที่ทหาร กับอัยการ และศาลกล่าวหาและลงโทษ
ขณะนี้ คดีของทั้งสองอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ทั้งสุรชัย และกฤษณะ ขอประกันตัว แต่ศาลแขวงปทุมวันไม่ให้ประกันตัว พวกเขาให้เหตุผลว่า กลัวคนทั้งสองจะออกไปก่อคดี และหนีประกัน
เขาทั้งสองเล่าว่า เขาอยากออกไปข้างนอก และยืนยันว่าเขาทั้งสองไม่มีความผิดตามที่รัฐกล่าวหาแม้ว่าเขาจะรับสารภาพ ในชั้นศาลก็ตาม เพราะว่าเขามีสิทธิประท้วงรัฐบาลได้
ขณะนี้เขาทั้งสองคนถูกจองจำที่แดน 8 คลองเปรม พร้อมกับคนเสื้อแดงอีกรวม 9 คนซึ่งพวกเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทั้งหมดโดนข้อหาละเมิดพรก.เหมือนกับเขาทั้งสองคน
หลังจากเขาทั้งสองถูกขังที่คลองเปรม ทางเรือนจำให้เยี่ยมได้เฉพาะ ญาติ และคนที่มีนามสกุลเหมือนกับเขา หากไม่มีนามสกุลเหมือนกับเขาทั้งสอง จะต้องมีพ่อและแม่หรือคนในครอบครัวที่นามสกุลเหมือนกันมาลงชื่อรับรองว่า เป็นญาติ และเยี่ยมได้เฉพาะวันอังคารเท่านั้น
เขาเล่าว่าเมื่อเขาถูกจำกัดการเยี่ยมจากทางเรือนจำ จึงติดต่อกับเพื่อโดยการเขียนจดหมายหาเพื่อนๆที่เขารู้จักที่อยู่ และหากผู้รักความเป็นธรรมคนใด อยากจะมาเยี่ยมเขาแต่มาไม่ได้ ก็เขียนจดหมายมาหาพวกเขาได้ที่
1.นายกฤษณะ ธัญชยพงศ์
2.นายสุระชัย พริ้งพงศ์
3.นายแสวง จงกัญญา
4.นายวิษณุ กมลแมน
5.นายอภิวัฒน์ เกิดนอก
6.นายอำนวย ชัยแสนสุข
7.นายประยูร สุรพินิต
8.นายสมหมาย อินทนาคา
9.นายเอกสิทธิ์ แม่นงาม
เรือนจำกลางคลองเปรม แดน 8
33/2 ถนนงามวงศ์วานแขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
No comments:
Post a Comment